Show Posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - ontcftqvx

Pages: [1] 2 3 ... 78
1
ลาว / ร้านอาหาร หลวงพระบาง
« on: December 07, 2013, 02:28:56 PM »
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=450d&month=05-2009&date=17&group=18&gblog=1

1. โจมา อยู่เวียงจันทน์ ไม่ใช่หลวงพระบางนะครับ (เอ๊ะ หรือว่าเปิดสาขาเพิ่ม ?)

2. หลวงพระบาง ผมแนะนำดังนี้ครับ
- มื้อเช้า ทานข้าวเปียก ที่ร้านเล็ก ๆ (มีภาษาเกาหลี ติดอยู่ที่กระจาดแบวนหน้าร้าน)ข้าง ๆ ปั๊มน้ำมัน ใกล้วัดพระธาตุหมากโม มีข้าวเปียกและเฝอ ที่ผมว่าอร่อยที่สุดในหลวงพระบาง

- มื้อเที่ยง แนะนำอาหารอิตาเลี่ยน + ลาว ที่ร้านพิซซ่าลาว ครับ อยู่ตรงถนนคนเดิน ฝั่งเดียวกับพูสีเลยครับ เมนูเด็ดคือ พิซซ่าลาว (พิซซ่าใส่ไส้อั่ว อร่อยมาก และไม่แพง)

- มื้อเย็น แนะนำ ตำหนักลาว อาหารราคาสูงนิดนึง แต่บรรยากาศดีครับ

1.ร้าน joma เมนูก็มีให้เลือกเยอะอยู่ครับทั้งอาหารและเครื่องดื่ม (ที่หลวงพระบางคือสาขาแรกครับที่เวียงจันทร์เปิดทีหลัง) เดี๋ยวนี้มีร้านสไตล์ joma เปิดเพิ่มครับชื่อร้าน saffron อยู่แถวกาแฟประชานิยม อีกสาขาอยู่ทางไปวัดเชียงทอง

2.เฝอ หน้าวัดแสน (ต้องไปแต่เช้าหมดไวมาก)

3.ร้าน khmu ก็อาหารอร่อยครับมีอาหารให้เลือกหลากหลาย พิซซ่า ก็อร่อย (เดินเลยพิพิธภันฑ์ไปประมาณ150ม.ร้านอยู๋ซ้ายมือ

แนะนำร้าน le cafe ban vat sene ค่ะ อาหารอร่อย ราคาไม่แพง

เฝอ หน้าวัดแสน อร่อยจริงค่ะ
ถ้าไม่คิดมาก และอยากกินแบบที่ชาวบ้านกิน ก็ตลาดเย็นค่ะ มีร้านขายอาหารเพียบ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ก็มากินกันที่นี่ค่ะ แต่ขอบอกว่าเราไปอยู่หลวงพระบาง 4 วันกินปลาจนเบื่อเลยค่ะ


มาคอนเฟิมร้าน le cafe ban vat sene ครับ
อร่อยและไม่แพงจริงๆ
เฝอหน้าวัดแสนก็งั้นๆแหละครับ เนื้อควายนะครับร้านนี้
ผมแนะนำ แหนมเนือง ตรง3แยกแถวๆเรือนพัก ม้าวพาโชคครับ ถูกและอร่อย
แต่นั่นก็หลายปีมาแล้ว ตอนนี้ผมว่าลองเดินๆดูรอบๆก่อนดีกว่าครับ อาจจะมีอะไรใหม่ๆก็ได้

จากคุณ   : เปิดมาเป็นกล่องเปล่าซะงั้น
เขียนเมื่อ   : 27 ต.ค. 55 17:26:51


ชอบร้าน สวีดิชพิซซาอร่อยมากๆจากคนชอบกินพิซซา

พวกอาหารตามสั้ง ผมว่าร้าน อัดสะริน
อร่อยแทบทุกอย่าง จานละ หกสิบบาท มีน้ำซุบอร่อยให้ด้วย
ถามพวกรถรับจ้างส่วนมากจะรู้จัก
จากตลาดมืด เดินตรงไปไป สี่แยก ทีสอง
เลี้ยวขววา ประมาณสามสิบเมตร

พวกบุฟเฟ่ ในตลาดมืด มันไม่น่ากิน
ทำใส่ถาด เย็น เซ็งหมดแล้ว ไม่อร่อยซักอย่าง
ตักเอา จานละ 40 บาท หรือ สิบพันกีบ


2
ลาว / พระราชวัง หลวงพระบาง
« on: December 07, 2013, 01:35:50 PM »
พระราชวังหลวงพระบาง (พิพิธภัณฑ์หลวงพระบาง)
 
 
                                       
 
 
ที่ตั้ง  ถนนสักกะลิน  ตรงข้ามทางขึ้นพระธาตุพูสี
เปิดให้เข้าชมทุกวันยกเว้นวันอังคาร
 
โดยแบ่งออกเป็น 2 ช่วงเวลาคือ
ตอนเช้า  8.00 น. - 11.30 น.
 
ปิดขายบัตรเข้าชมสำหรับภาคเช้าเวลา  11.00 น.
 
ตอนบ่าย 13.30 น. - 16.00 น.
ปิดขายบัตรเข้าชมสำหรับภาคบ่ายเวลา 15.30น.
 
ค่าธรรมเนียมการเข้าชม  30.000 กีบ
 
 
                                                   
 
 
พระราชวังหลวงพระบางเป็นอาคารแบบฝรั่งแต่หลังคาเป็นแบบทรงลาว
ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง หันหน้าเข้าสู่พระธาตุพูสี ตัวพระราชวังเป็นหมู่อาคาร
 
เตี้ยๆชั้นเดียว ตั้งอยู่บนพื้นยกสูง มีความงดงามลงตัวของศิลปะยุคอาณานิคม
ผสมกับศิลปะแบบล้านช้าง สภาพโดยรอบมีความร่มรื่นด้วยต้นไม้ที่ไม่หนาจนเกินไป
 
การจะเข้าชมภายในตัวอาคารพระราชวังจะต้องนุ่งชุดสุภาพ
สำหรับสุภาพบุรุษห้ามนุ่งกางเกงขาสั้นหรือใส่เสื้อกล้าม
 
สุภาพสตรีห้ามนุ่งกางเกงขาสั้นหรือเสื้อแขนกุดในการเข้าชม
และห้ามถ่ายรูปภายในตัวอาคารพระราชวังโดยเด็ดขาด
 
 
                     
 
 
ประวัติของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2447 สมัยเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์
สืบทอดต่อมาถึงสมัยเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวัฒนา พระมหากษัตริย์องค์สุดท้ายของลาว
 
ภายหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองหรือที่ชาวลาวเรียกว่า “การปลดปล่อย”
รัฐบาลลาวได้เปลี่ยนพระราชวังหลวงมาเป็น  “หอพิพิธภัณฑ์”
 
 
                                             
 
 
ในปี พ.ศ. 2519 หลังจากที่ไม่มีพระมหากษัตริย์ประทับอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว
ลักษณะแผนผังของตัวพระราชวังประกอบด้วยอาคารขวางด้านหน้า หลังคามุงกระเบื้อง
 
ตรงกลางมีมุขยื่นออกมา มีหน้าบันเป็นรูปช้าง 3 เศียร มีฉัตรกางอยู่ตรงกลางข้างบน
อันเป็นสัญลักษณ์ของราชอาณาจักรลาวล้านช้างในระบอบเดิมตรงเข้าไปเป็น
 
ห้องฟังธรรมของเจ้ามหาชีวิตและท้องพระโรง เบื้องหลังท้องพระโรงเป็นอาคารที่มี
หลังคาเป็นยอดปราสาทหลังเดียวมองเห็นเป็นสง่าเด่นชัดจากภายนอกตัวอาคาร
 
แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ปีกทางด้านซ้ายมือเป็นห้องรับแขกของพระมเหสี
 
 
                                             
 
 
ปัจจุบันมีของขวัญจากประเทศต่างๆจัดแสดงให้ชมอยู่ ทั้งจากประเทศ
สังคมนิยมคอมมิวนิสต์, ประเทศทางตะวันตก, เอเชีย รวมทั้งของประเทศไทย
 
ส่วนปีกทางด้านขวามือเป็นห้องรับแขกของเจ้ามหาชีวิต
มีความสวยงามบรรยากาศเป็นแบบฝรั่งเศสปนลาว
 
มีภาพเขียนบนผ้าใบผืนใหญ่กรุเต็มผนังขึ้นไปจรดเพดาน เขียนขึ้นในปีพ.ศ. 2473
แสดงถึง ฮีตครอง(จารีตประเพณี) ของคนลาว ในช่วงเวลาต่างๆของแต่ละวัน
 
รูปขบวนเจ้ามหาชีวิตเสด็จไปสรงน้ำพระที่วัดเชียงทองและวัดใหม่
รูปประเพณีบุญปีใหม่ลาว รูปตลาดตอนแลง (ตลาดเย็น)
 
ซึ่งภาพเหล่านี้ถ่ายด้วยด้วยเทคนิคแบบ Impressionism
ทั้งยังมีรูปหล่อครึ่งตัวอีก 4 องค์คือ เจ้ามหาชีวิตอุ่นคำ
 
 เจ้ามหาชีวิตสักรินทร์  เจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์
และเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวัฒนา ซึ่งหล่อมาจากประเทศฝรั่งเศสทั้งสิ้น
 
 
                                                 
 
 
ส่วนของห้องสุดท้ายของปีกด้านนี้ได้ถูกจัดให้เป็นห้องพระโดยเฉพาะ
ภายในเป็นที่ประดิษฐานของ “พระบาง” พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองหลวงพระบาง
 
อันศักดิ์สิทธิ์  มีลักษณะประทับยืน ยกพระหัตถ์ทั้งสองข้างขึ้น
หันฝ่าพระหัตถ์ออกทั้งสองข้าง ซึ่งชาวลาวเรียกกันว่า “ปางประทานอภัย”
 
หรือที่คนไทยเรียกว่า “ปางห้ามสมุทร” เป็นศิลปะเขมรสมัยหลังบายน
อายุราว 300 ปี มาแล้ว หล่อด้วยทองคำบริสุทธิ์ 90%
 
หนัก 54 กิโลกรัม สูงราว 40 – 50 ซม. ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ “เมืองหลวงพระบาง”
อันหมายถึงเมืองที่มี “พระบาง” ประดิษฐานอยู่นั่นเอง
 
ทุกวันขึ้นปีใหม่ลาว (ราวเดือนเมษายน) จะมีการอัญเชิญ “พระบาง”
ลงมาประดิษฐานที่ “วัดใหม่” เพื่อให้ประชาชนสรงน้ำสักการบูชา
 
เพื่อความเป็นสิริมงคลของชาวหลวงพระบางและชาวลาวทั้งประเทศ
ภายในห้องพระนี้ยังเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปนาคปรก สลักด้วยหิน
 
ในรูปแบบศิลปะเขมรอีก 4 องค์ และมีกลองมโหระทึกอีกหลายใบ
ซึ่งไม่ทราบแน่ชัดว่ามาจากที่ใดนอกจากนั้นยังมีพวงมาลา
 
ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ซึ่งถวายเป็นพุทธบูชาไว้เมื่อครั้งเสด็จ
มายังประเทศลาวและเมืองหลวงพระบาง เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2533
 

3
   To and from airport
Transportation   To   Fare
Airport Shuttle Bus   Hankou Line: Tianhe Airport
– Minhang New Village – Holiday Inn
TianAn Wuhan   RMB 16
Wuchang Line: Tianhe Airport
– Minhang New Village – Fujiapo
Passenger Transportation Station   RMB 31
Qingshan Line: Tianhe Airport
– Wuhan Railway Station – Qingshan
Dazhou Market   RMB 36
Guanggu Line: Tianhe Airport
– Minhang New Village –Hongji Passenger
Transportation Station – Optics Valley
Gymnasium of HUST   RMB 41
YOUR AWESOME GETAWAY AWAITS YOU RIGHT HERE!
Book now   



http://www.airasia.com/my/en/destinations/wuhan.page

4
IBIS hotel wuhan - 宜必思酒店 - Yibìsī jiǔdiàn


5
อู่ฮั่น wuhan / East Lake donghu lake wuhan
« on: December 07, 2013, 10:05:27 AM »



East Lake เป็นเหมือนสวนสาธารณธใหญ่ๆของ Wuhan ครับ โดยเป็น lake ที่ใหญ่ที่สุดของที่นีี่ถ้าผมอ่านมาไม่ผิดเห็นว่ากินพื้นที่ทั้งหมดเกือบ  1/4 ของเขตเมืองเลยครับ...

ดังนั้นจะเห็นคนมาเดินเล่นที่นี่กันเยอะมากครับ
อารมณ์ว่ามาปิคนิตกันนั่นหล่ะครับ



ตามรอบๆ lake จะมีอาคารต่างๆ ครับ
อันนี้เป็นหออะไรซักอย่าง ถ้าดูตาม map  จะชื่อ Xingyin Pavillion ครับ
สามารถขึ้นไปชมวิวได้ครับ



จริงๆใน Lake มีที่เที่ยวอีกเยอะมากครับ
แต่ว่าเราไม่ได้ไป (เพราะไม่รู้จะไปยังไง) มีจุดนึงจะเป็นชายหาดครับ
ตรงกลาง lake จะมีเนินเขาด้วยซึ่งสามารถถ่ายวิวมุมสูงลงมาได้ (แต่ไม่รู้จะไปยังไงเข้นกันครับ)

เลยออกแนวเดินชิวๆริม lake เสียมากกว่าครับ



หลังจากเดินเล่นเสร็จก็ออกมาด้านหน้าทางเข้า หาของกินครับ

กะว่าวันนี้จะกินอาหารพื้นเมืองให้ได้

ไปนั่งแน่นอนไม่มีรูปมาให้สั่งหรอกครับ

ดีบุกชิงเอาตัวรอดก่อนด้วยการไปสั่งมาม่าจากร้านขายของชำข้างๆกิน

ผมก็เลยบุกไปในร้านครับไปสั่ง โดยวิธีเดิม เดินไปที่โต๊ะซักโต๊ะ..

แล้วชี้เลยครับว่าจะเอาอันนั้นอันนี้ (โดยดูจากซากที่เหลือของโต๊ะอื่นนี่แหละ) ฮ่าฮ่าฮ่า

ได้มา 2 อย่างเมนูแรกอยากกินตั้งแต่วันก่อนแต่ไม่ได้กินเพราะหมด...

หมูสามชั้นพะโล้อะไรประมาณเนี้ยครับ

แต่เวลากินต้องตัดมันทิ้งพอควรเลย  ฮ่าฮ่าฮ่า



อีกเมนูนึง

เข้าใจว่าเป็นเต้าหู้กะทะร้อนนะ... เห็นดีบุกบอกว่าได้กลิ่นเหมือนหมูยอ

เลยสรุปว่าเป็นเต้าหู้เนื้อหมูครับ ฮ่าฮ่าฮ่า

อร่อยดีแต่แพงไปหน่อย

จานตะกี้  24 หยวน จานนี้ 48 หยวนครับ



หลังจากกินเสร็จก็นั่ง  Taxi กลับที่พักครับ
แต่วันนี้กลับเร็วเลยเอาของไปเก็ยแล้วกลับไปเดินเล่นที่ jianghan Road อีกรอบครับ
แต่รอบนี้ลองนั่งรถ Metro ดูครับ

แต่ไม่ใช่ว่าใกล้นะ จาก IBID เดินมาประมาณ 1 โลครับกว่าจะถึง


6
อู่ฮั่น wuhan / hubei musemu
« on: December 07, 2013, 09:53:18 AM »
สำหรับ  Hubei Museum และ East Lake จะอยู่ไกลออกไปหน่อย
แต่มารู้ทีหลังว่ามีรถเมล์ที่ผ่านหน้าที่พักที่ IBIS ด้วยคือสาย 411

ตอนไปก็เลยจัด Taxi ไปครับน่าจะ 30-40 หยวนมั๊งครับจำไม่ได้ล่ะ...
ที่ Museum คนเยอะมากเดาว่าอาจจะเพราะที่นี่พึ่งเปิดได้ไม่นานและวันที่ผมไปก็เป็นช่วงวันหยุดของจีน

และที่สำคัญ เข้าฟรีครับ....
สำหรับที่นี่ ปกติแล้วจะจำกัดว่าวันนึงเข้าช่วงเช้าได้ไม่เกิน  3500 คนครับแต่วันนั้นคหยวนๆ เพราะคนเยอะและเข้าเกินครับ..

ตอนผมไปเอาขาตั้งกล้องไปด้วย
แต่เค้าไม่ให้เอาเข้านะต้องเอาไปฝากไว้ซึ่งตอนเจ้าหน้าที่มาบอกระหว่างเข้าแถวอยู่เราก็เข้าใจหล่ะ
แต่ประเด็นคือจะให้เอาไปฝากที่ไหน.. นี่แหละที่คุยไม่รู้เรื่อง สรุปว่า เค้าเลยหาคนจีนแถวนั้น (ที่เดินมากับฝรั่ง)
ให้มาพูดกับผม ซึ่งชมเชยว่าเจ้าหน้าที่เค้าแก้ปัญหาได้ดีครับ ตาไวมาก เพราะจริงๆแล้วที่  Wuhan ต่างชาติน้อยมากๆๆๆๆ ครับ และคนที่นั้นพูดอังกฤษได้น้อยมากๆ

คุณเจ้าหน้าที่เค้าตาไวเห็นสาวจีนคนนี้ควงฝรั่งมาเลยพามาเป็นล่ามให้ผม สรุปว่าเค้าบอกให้เดินตามเจ้าหน้าที่อีกคนไปไปฝากขาตั้งกล้อง
ซึ่งตรงที่ฝากขามันอยู่ด้านในแล้วเลยเหมือนว่าผมได้คิวลัดเข้าไปเลยซะงั้น  ฮ่าฮ่าฮ่า
แต่สุดท้ายก็ต้องมารอดีบุกด้านในอยู่ดีนั่นหล่ะ


เรา 13 คน ออกเดินทางไปยังเมืองหวู่ฮั่น (Wuhan) ในวันที่ 9 พฤษภาคม 2556 และจุดหนึ่งที่อยากไปมาก คือ พิพิธภัณฑ์มณฑลหูเป่ย (Hubei Provincial Museum) ไปแล้วไม่ผิดหวังเลย ที่สำคัญเข้าชมฟรี และไม่ห้ามถ้าจะถ่ายรูป ขอเพียงอย่าใช้แฟลชเป็นพอ

http://pantip.com/topic/30621471



เป็นไฮไลท์ของห้องนี้ เป็นดาบเก่าลวดลายสวยงาม




ภายในตึกใหญ่มาก มีบันไดเลื่อนด้วย แต่ละชั้นมี 2 ฝั่ง มีการแสดงที่อลังการมาก ๆ สมบัติส่วนใหญ่ได้มาจากขุดมาจากสุสานโบราณ

เมืองหวู่ฮั่นมาประวัติศาสตร์ยาวนานมากกว่า 3,000 ปี และเกี่ยวข้องกับสามก๊กด้วยนะ และยังเป็นที่นั่งของผาแดง ที่ขงเบ้งเรียกลมเรียกฝนพัดทัพเรือของโจโฉจนแตกพ่ายกลับไป





ต่อจากภาคที่ 1 ด้วยเวลาจำกัด ต้องรีบดูรีบถ่าย เพราะความคิดเห็นเริ่มแตก มีพี่บางคน...ไปล่องเรือแม่น้ำแยงซีเกียง แต่เราอยากดูพิพิธภัณฑ์

ด้านล่างเป็นสุสานม้าศึกค่ะ เขาให้เกียรติม้ามาก เมื่อตายยังนำมาเรียงกันและทำการฝังพร้อมกับรถม้าเหล็ก ท่าจะหนักน่าดูนะเนี่ย แสดงว่าม้าในสมัยนั้นต้องตัวใหญ่และแข็งแรงมาก ๆ ด้วย





ที่เป็นบางส่วนของอุปกรณ์เหล็กของรถม้า ยังมีอุปกรณ์ตัวเล็ก ๆ หลายตัว สนใจไปชมกันได้นะ เข้าชมฟรี

ต่อไปเป็นห้องแสดงพาหนะสีสวยงาม นี่เป็นเพียงบางส่วนจ๊ะ เหลือแต่ที่ชอบมาให้ชม






มีการจำลองสุสานตอนที่พบ จะแบ่งเป็น 4 ห้อง ได้แก่ ห้องเก็บสมบัติ ห้องเก็บอาวุธ ห้องดนตรี และห้องเก็บโลงศพ


7
• แนะนำเส้นทางท่องเที่ยวอู่ฮั่น 4 วัน 3 คืน และ 5 วัน 4 คืน
• สำหรับการเที่ยวเมืองอู่ฮั่น สามารถเที่ยวได้หลายโปรแกรม ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางบินเข้าเมืองอู่ฮั่น-ล่องเรือแม่น้ำแยงซีเกียง-บินออกเมืองฉงชิ่ง, เส้นทางบินเข้าเมืองอู่ฮั่น-เขาบู๊ตึ้ง-บินออกเมืองซีอาน หรือ เส้นทางบินเข้าเมืองอู่ฮั่น-ล่องเรือแม่น้ำแยงซีเกียง-เขาบู๊ตึ๊ง-สุสานทหารจิ๋นซี-บินออกเมืองซีอาน ซึ่งมีสายการบินแอร์เอเซียบินตรง ดอนเมือง-อู่ฮั่น, ดอนเมือง-ฉงชิ่ง และ ดอนเมือง-ซีอาน ทุกวันครับ
• ส่วนท่านที่ต้องการเที่ยวแต่เฉพาะเมืองอู่ฮั่น ผมแนะนำโปรแกรมเที่ยวสัก 2 โปรแกรมเผื่อเป็นไกด์ไลน์ในการท่องเที่ยวได้ครับ
• โปรแกรมเที่ยวอู่ฮั่นแบบ 4 วัน 3 คืน
วันแรก ดอนเมือง-อู่ฮั่น (ไปไฟลท์เช้าแอร์เอเชีย) ถึงเมืองอู่ฮั่นตอนเที่ยง เดินทางต่อไปเมืองอี๋ชาง แวะเที่ยวศาลเจ้ากวนอู กำแพงเมืองโบราณเมืองจิงโจว (พักที่เมืองอี๋ชาง)
วันที่สอง ตอนเช้าไปล่องเรือแม่น้ำแยงซีเกียง ส่วนตอนบ่ายไปเที่ยวเขื่อนซานเสียต้าป้า (พักที่เมืองอี๋ชาง)
วันที่สาม ออกเดินทางกลับเมืองอู่ฮั่น แวะเที่ยวพิพิทภัณฑ์จิงโจว เที่ยวชมเมืองอู่ฮั่น ถนนคนเดินเจียงฮั่น (พักที่เมืองอู่ฮั่น)
วันที่สี่ เที่ยวหอนกกระเรียนเหลือง วัดกุยหยวน ช้อปปิ้ง เดินทางกลับแอร์เอเชียไฟลท์เย็นครับ
• โปรแกรมเที่ยวอู่ฮั่นแบบ 5 วัน 4 คืน (แบบเจาะลึก)
วันแรก ดอนเมือง-อู่ฮั่น (ไปไฟลท์เช้าแอร์เอเชีย) ถึงเมืองอู่ฮั่นตอนเที่ยง เดินทางต่อไปเมืองอี๋ชาง แวะเที่ยวศาลเจ้ากวนอู กำแพงเมืองโบราณเมืองจิงโจว (พักที่เมืองอี๋ชาง)
วันที่สอง ตอนเช้าไปล่องเรือแม่น้ำแยงซีเกียง ส่วนตอนบ่ายไปภูเขาบู๊ตึ๊ง อู่ตังซาน (พักที่บู๊ตึ้๊ง)
วันที่สาม เที่ยวภูเขาบู๊ตึ๊ง อู่ตังซาน ทั้งวัน (พักที่บู๊ตึ้๊ง)
วันที่สี่ ออกเดินทางกลับเมืองอู่ฮั่น แวะเที่ยวกู่หลงจง บ้านขงเบ้ง ถนนคนเดินเจียงฮั่น (พักที่เมืองอู่ฮั่น)
วันที่ห้า เที่ยวหอนกกระเรียนเหลือง วัดกุยหยวน ช้อปปิ้ง เดินทางกลับแอร์เอเชียไฟลท์เย็นครับ
• สอบถามเส้นทางท่องเที่ยวเมืองอู่ฮั่นได้ที่ โอเชี่ยนสไมล์ทัวร์ โทร.02 - 969 3664 หรือ อีเมล์ gotothailand88@hotmail.com นะครับ

8
วัดกุยหยวน (Guiyuan Temple)
• วัดกุยหยวน (Guiyuan Temple) หรือ "กุยหยวนซื่อ" วัดเก่าแก่ที่มีชื่อเสียง 1 ใน 4 ของเมืองอู่ฮั่น สร้างขึ้นในราวปลายราชวงศ์หมิงต่อเนื่องถึงต้นราชวงศ์ชิง ภายในมีรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมขนาดใหญ่ที่ชาวจีนนิยมไปกราบไหว้เพื่อความเป็นสิริมงคล มีวิหารพระอรหันต์ 500 องค์ที่ปั้นจากดินเหนียวเคลือบทอง ซึ่งแต่ละองค์มีรูปร่างหน้าตาและอากัปกริยาที่ไม่ซ้ำกัน




9
อี๋ชาง และ เขื่อนเก่อโจวป้า อี๋ชางเป็นเมืองเล็ก ๆ ตอนกลางของลุ่มแม่น้ำแยงซี ก่อนปี ค.ศ. 1978 ยังเป็นเมืองที่มีพลเมืองประมาณ 3 แสนกว่าคนที่ไม่มีใครรู้จัก เนื้องด้วยรัฐบาลจีนสร้างเขื่อนกักน้ำและโรงงานผลิตไฟฟ้าพลังน้ำ เป็นเขื่อนกระแสน้ำต่ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นเขื่อนทดลองและเขื่อนตัวอย่าง เพื่อที่จะสร้างเขื่อนซานเสียซึ่งเป็นเขื่อนที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่สร้างในระหว่างปี ค.ศ. 1996 – 2009 จึงแล้วเสร็จ เขื่อนเก่อโจวป้าสูง 50 เมตร ยาว 2450 เมตร หมายเหตุ เขื่อนที่กักน้ำต่ำกว่า 50 เมตร เรียกว่า เขื่อนกระแสน้ำต่ำ ปัจจุบันนี้หลังจากสร้างเขื่อนเก่อโจวป้าสำเร็จและได้ทำการสร้างเขื่อนซานเสีย จนสามระกักน้ำได้สูงถึง 135 เมตร และกักน้ำ 175 เมตรในที่สุดเมื่อถึงปี ค.ศ. 2009 เมื่อเขื่อนแล้วเสร็จโดยสมบูรณ์ ซึ่งอยู่ต้นน้ำห่างออกไปจากเก่อโจวป้าประมาณ 40 กิโลเมตร เป็นเขื่อนที่สูงที่สุด 180 เมตร ถมดินมากที่สุด ใช้เหล็กลวดมากที่สุด ใช้ปูนมากที่สุด กักน้ำสูงที่สุด (175 เมตร) น้ำท่วมขังไกลที่สุด (ประมาณ 800 กิโลเมตร) ผลิตไฟฟ้ามากที่สุด ทดน้ำทำนามากที่สุด อพยพคนมากที่สุด (3 ล้าน 5 แสนคน)


10


เป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดใหญ่ระดับมณฑล ก่อนปี ค.ศ.1999 พิพิธภัณฑ์แห่งนี้จัดแสดงหุ่นจำลองสุสานโบราณ อายุประมาณ 2,400 ปี ของพระเจ้าเจิงโหวยี่ จนถึงปีดังกล่าวได้มีการจัดสร้างตึกโดยเฉพาะ เพื่อแสดงสิ่งที่พบในสุสาน โดยจัดแสดงโบราณวัตถุล้ำค่า ส่วนมากเป็นเครื่องทองสัมฤทธิ์ เช่น ระฆังราว เสื้อหยก ที่ขุดพบที่หม่าหวางตุย กลองสัมฤทธิ์ โถ จอกเหล้า ตะเกียง เครื่องประดับ และเครื่องสัมฤทธิ์อื่นๆ มากมาย
สิ่งที่น่าสนใจคือระฆังสำริดโบราณ 65 ใบ เมื่อถูกเคาะจะให้เสียงกังวานสูงต่ำทุ้มแหลมราวกับเครื่องดนตรี ทางพิพิธภัณฑ์ได้สร้างระฆังจำลอง และเปิดการแสดงบรรเลงเป็นเพลงได้อย่างไพเราะน่าฟัง


11
เขาอู่ตัง (อู่ตังซาน) หรือ บู๊ตึ๊ง ในภาษาจีนฮกเกี้ยน ในภาษาจีนกลาง มีอีกชื่อว่า ไท่เหอซัน เป็นเทือกเขาที่ตั้งอยู่ในมณฑลหูเป่ย ประเทศจีน มีความสำคัญของลัทธิเต๋า ที่เล่าสืบมาว่า ปรมาจารย์เจินอู่ หรือเทพเจ้าเสวียนอู่ (เทพอสูรแห่งทิศเหนือ ตัวแทนฤดูหนาว เทพอสูรตัวนี้ถูกสื่อออกมาในรูปของเต่าสีด­ำที่ถูกพันรอบด้วยงู เป็นสัญลักษณ์แห่งลัทธิเต๋า ความศรัทธา อายุยืนยาว ความสุข) ได้บำเพ็ญตบะบนยอดเขาแห่งนี้ สถานที่ที่เสมือนเป็นแดนสุขาวดี ได้ใช้วิชาทั้งบุ๋นและบู๊ต่อกรกับภิกษุหลา­ยรูปของฝ่ายพุทธจนได้รับชัยชนะ สามารถยึดเขาแห่งนี้เป็นที่พำนักสืบมา
เขาบู๊ตึ๊งเป็นสถานที่ที่รวมสิ่งก่อสร้างต­ามแบบสถาปัตยกรรมจีนหลายยุคหลายสมัยเข้าด้­วยกัน ตั้งแต่ราชวงศ์ถัง ราชวงศ์ซ่ง ราชวงศ์หยวน เรื่อยมากระทั่งราชวงศ์หมิง และราชวงศ์ชิง รวมกันนับได้กว่าพันปี

 .[youtube=425,350]1VUgXVESNAI[/youtube]

12
 .[youtube=425,350]duZFXKJJ4j4[/youtube]

 .[youtube=425,350]wNqun3aWPz4[/youtube]

เผยแพร่เมื่อ 27 มิ.ย. 2013
กู่หลงจง หรือ บ้านขงเบ้่ง ตั้งอยู่ทิศตะวันตก ห่างจากเมืองเซียงหยางไป 15 กิโลเมตร เป็นบ้านพักอาศัยของขงเบ้ง เซ่จูเก๋อ ชื่อเหลียง นามขงเบ้ง (ปีค.ศ. 181-234) คนซานตง ตอนอายุ 17 ตามคุณพ่อ จูเก๋อเสียมาที่เมืองเซียงหยางและเก็บตัวข­ยันหมั่นเพียร อ่านหนังสือและสังเกตการเมืองภายนอกอย่างใ­กล้ชิด มีฉายาว่า มังกรหมอบ ปี ค.ศ. 207 เล่าปี่และพี่น้องร่วมสาบาน กวนอูและเตียวหุย มาเชิญตัวที่กระท่อมหลงจงถึง 3 ครั้ง เล่าปี่ได้คุยกับจูเก๋อเหลียง ขงเบ้งอธิบายสภาพการเมืองในเวลานั้น เสนอความคิดเห็พร้อมทั้งวิธีรวบรวมประเทศใ­ห้เป็นเอกภาพ รวมทั้งนโยบาย และกลยุทธ์ และยินดีเป็นที่ปรึกษากุนซือของเล่าปี่ ในที่สุดได้สร้างฐานให้เกิดเป็นสามก๊ก เมืองเซียงหยาง ตั้งอยู่ภาคตะวันตกเฉียงเหนือของมณฑลหูเป่­ยเป็นเมืองโบราณสมัย 2500 ปีก่อนในสมัยราชวงค์ชุนชิว เป็นเมืองเก่าของเกงจิ๋ว และเป็นเมืองทางยุทธศาสตร์ที่ขงเบ้งยุในยึ­ดครองเป็นฐานที่มั่นจากซุนกวน กำแพงเมืองยาว 6 กิโลเมตร 4 ด้าน 6 ประตู ตั้งอยู่ที่ริมแม่น้ำฮั่นสุ่ยซึ่งไหลผ่านป­ระตูเหนือ ภาคใต้มีภูเขาเจี้ยนซาน ฝั่งตะวันออกมีภูเขาฉู่ซาน เป็นกำบัง ซึ่งมีฉายาว่า เมือง "ฟูหยิน" (คุนหมิง) ลือกันว่า สร้างโดยมารดาของพระเจ้า "จูลี่" สมัยราชวงค์ "จิ่น" ยุคจ้านกว๋อ

13
 เมืองจิงโจว (เมืองเกงจิ๋วในสมัยสามก๊ก)
• พิพิธภัณฑ์เมืองจิงโจว ซึ่งเป็นที่เก็บวัตถุโบราณสมัยสามก๊กที่มีค่ามหาศาลมาก ประมาณ 1 แสนชิ้น





• ศาลเจ้ากวนอู เมืองเกงจิ๋วโบราณเป็นที่เฝ้าปร่จำกวนอู ศาลเจ้ากวนอูตั้งอู่ภากใต้ของเมืองนี้ ที่นี่เมื่อก่อนเป็นตำหนักกวนอู จากนั้นนำท่านชม กำแพงเมืองโบราณจิงโจว (เมืองเก็งจิ๋ว) มีความกว้าง 3.75 กิโลเมตรมีเนื้อที่ 4.5 ตารางกิโลเมตร ยาว 10.5 กิโลเมตร สูง 8.3 เมตร มี 6 ประตู ทุกประตูจะมีป้อมหรือซุ้มอยู่ด้านบน ซึ่งได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดี




 กู่หลงจง บ้านขงเบ้ง
• กู่หลงจง บ้านขงเบ้ง ที่ ภูเขาโงลังกั๋ง (ภูเขา มังกรซ่อนกาย) อยู่ทิศตะวันตกเฉียงเหนือของมณฑลหูเป่ย มีเนื้อที่ 209 ตร กม. สถานที่สามพี่น้อง เล่าปี่ กวนอู เตียวหุย มาเชิญขงเบ้งไปช่วยงานบ้านเมือง
• กู่หลงจง (ภูเขาโงลังกั๋ง) มีประวัติยาวนานหนึ่งพันเจ็ดร้อยกว่าปี ภายในกู่หลงจงมีรูปปั้นทองเหลืองขนาดเท่าตัวจริง




15
ท่ามกลางอากาศเย็นพอสบาย เราเดินทางมาถึง 'อู่ฮั่น' เมืองเอกของมณฑลหูเป่ย มีพื้นที่ 8,467.11 ตารางกิโลเมตร กับประชากรราว 8,100,000 คน เป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 3,000 ปี และเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในสมัยสามก๊ก ปัจจุบันอู่ฮั่นมีความสำคัญทั้งในฐานะเมืองอุตสาหกรรมเหล็ก รถยนต์ เครื่องจักร อาวุธ จนถึงการผลิตยาสูบ ทำรายได้ราวหมื่นล้านหยวนต่อปี

เพื่อให้สมดังตั้งใจในการเดินทางย้อนรอยสามก๊กครั้งนี้ ทันทีที่คนพร้อม รถพร้อม เราจึงมุ่งหน้าไปยัง 'ผาแดง' (ซานกั๋วชื่อปี้) หรือที่นักอ่านสามก๊กรู้จักกันในชื่อ 'เซ็กเพ็ก' ตั้งอยู่ห่างจากเมืองชื่อปี้ไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ 36 กิโลเมตร ริมฝั่งแม่น้ำแยงซีด้านใต้ เป็นจุดที่ว่ากันว่าเป็นสถานที่ทำสงครามผาแดงระหว่างทัพพันธมิตรของซุนกวนและเล่าปี่กับทัพของโจโฉเมื่อปีค.ศ.208

เหตุการณ์ตามท้องเรื่องสามก๊กฉบับวรรณกรรมระบุว่า หลังจากเล่าปี่ทิ้งเมืองซินเอี๋ยและห้วนเสีย อพยพราษฎร์หนีการตามล่าของทัพโจโฉไปที่เมืองแฮเค้าที่เล่ากี๋ครองอยู่ จากนั้นจึงส่งขงเบ้งไปเจรจากับซุนกวนให้ร่วมกันทำศึกกับโจโฉ บังทองออกอุบายหลอกโจโฉใช้โซ่ผูกเรือทั้งหมดติดกันเป็นแพก่อนโจมตีด้วยไฟ ขณะที่ขงเบ้งทำพิธีเรียกลมพายุมาช่วยโหมเผาทัพเรือโจโฉจนพ่ายแพ้หมดรูป กลายเป็นกรณี 'โจโฉแตกทัพเรือ' นั่นเอง ว่ากันว่าเพลิงที่เผาผลาญกองทัพโจโฉครั้งนั้นทำให้หน้าผาบริเวณนี้ปรากฏเป็นสีแดงเพลิงไปทั่วทั้ง เป็นที่มาของชื่อ 'ผาแดง' หรือ 'ชื่อปี้' นั่นเอง อันที่จริงตลอดริมฝั่งแม่น้ำแยงซีมีจุดที่สันนิษฐานว่าเป็น 'ผาแดง' อยู่หลายแห่ง ก่อนที่นักประวัติศาสตร์จะร่วมกันลงความเห็นว่าจุดที่เรียกว่าผาแดงในปัจจุบันคือบริเวณที่ตรงตามประวัติศาสตร์มากที่สุด

หลังจ่ายค่าเข้าชมเรียบร้อย เราเริ่มต้นเส้นทางเดินสู่ผาแดงที่ 'กระท่อมบังทอง' แน่นอนว่าหลังเหตุการณ์ผ่านไป 1,800 ปีตัวกระท่อมของจริงย่อมไม่เหลือเศษซากให้เห็น มีเพียงอาคารหลังเล็กที่สร้างใหม่ตรงจุดที่คาดว่าเคยเป็นที่อาศัยของบังทอง กับต้นแปะก๊วยโบราณที่ว่ากันว่าบังทองเป็นผู้ลงมือปลูกด้วยตนเอง

จากกระท่อมบังทอง เราเดินต่อไปตามขั้นบันไดมุ่งหน้าขึ้นเขาชื่อปี้ จนถึง 'แท่นเรียกลม' ซึ่งเชื่อว่าเป็นจุดที่ขงเบ้งทำพิธีเรียกพายุนอกฤดูมาโจมตีกองทัพเรือโจโฉ เราพยายามมองหาแม่น้ำแต่ไม่เห็นเพราะมีป่าไม้ขวางอยู่เต็มตา แต่หากนึกภาพว่าไม่มีต้นไม้มาบังขงเบ้งก็อาจจะยืนบนแท่นพิธีแล้วมองลงไปเห็นแม่น้ำได้เหมือนกัน

เดินต่อไปตามทางก็จะพบกับ 'พิพิธภัณฑ์สงครามผาแดง' จุดนี้มีการจัดแสดงโบราณวัตถุบางส่วนที่ค้นพบในพื้นที่ มีข้อมูลเรื่องการศึกที่ผาแดงให้อ่านพอเข้าใจ ชุดขุนศึกให้ใส่ถ่ายรูปเล่นได้ถ้าไม่กลัวโรคติดต่อทางผิวหนัง ออกจากจุดนี้เดินต่อไปก็จะพบกับทางเดินเท้าที่ทอดยาวขึ้นลงตามแนวเนินเขา สองข้างทางกำลังมีการก่อสร้างอาคารสถานที่ตามประวัติศาสตร์สามก๊ก เช่น หอบัญชาการรบ ฐานทัพกองทัพง่อก๊ก ฯลฯ เพื่อพัฒนาพื้นที่ตรงนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเต็มรูปแบบ



ประคองร่างเดินขึ้นเขาลงเนินกันพอเหนื่อย ในที่สุดเราก็เดินมาถึงเชิงผาแดงริมแม่น้ำแยงซีเสียที มหานทีกว้างใหญ่มองแทบไม่เห็นฝั่งตรงข้ามดูแล้วก็หลับตานึกภาพกองเรือมหึมาของโจโฉที่รุกคืบเข้ามา อาจจะเป็นลมแม่น้ำพัดเย็นเดียวกันนี้เองที่โหมเพลิงเผาทัพเรือโจโฉมอดไหม้ไปตามกัน แต่จะเป็นเพราะฝีมือการเรียกลมของขงเบ้งหรือโจโฉตัดสินใจเผาเรือตัวเองระหว่างถอนทัพเพื่อไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามเอาไปใช้ได้ก็แล้วแต่ว่าจะเลือกเชื่อ 'ตำนาน' หรือ 'ประวัติศาสตร์' อย่างไรก็ตาม เดินไกลมาถึงจุดนี้ใครไม่ถ่ายรูปคู่กับตัวอักษร 'ผาแดง' เป็นที่ระลึกถือว่าพลาดอย่างไม่น่าให้อภัย


Pages: [1] 2 3 ... 78