น้ำ งดอาหาร ตั้งแต่ 11โมง
ตอนเช้าวันผ่าผมกินโจ๊กไป 1 ชามใหญ่ พอ10:30 ผมก็กินข้าวต้มไปอีก 1 ชามใหญ่ เป็นอันเสร็จพิธีเตรียมตัว
หลังจากกินข้าว 10โมงครึ่งเสร็จก็ หอบหิ้ว ศรีภรรยา และ ลูกชาย ขึ้น แท็กซี่ ปุเลงๆๆ ไปที่ตึก นวมินทร์ (คนละที่กับที่ตรวจ ที่ตรวจอยู่ตึก ภปร.)
ไปถึงก็ไม่มีอะไร ยื่นใบนัดปุ๊บ เขาก็พาไปที่ห้อง บอกว่าพักผ่อนก่อน มีชุดคนไข้ ให้เปลี่ยน และก่อน ถึงเวลาผ่าตัด 1 ชั่วโมง ให้อาบน้ำ และ มีชุดผ่าตัดให้เปลี่ยน
ผมก็เปลี่ยนจากชุดที่ใส่มาเป็นชุดของคนไข้ แล้วก็ขึ้นไปนั่งดูโทรทัศน์ อยู่บนเตียง ถึงตอนนี้ เฉยๆนะ ไม่กลัว แต่ทำใจไว้แล้วว่าหลังผ่าคงต้องเจ็บมั่งแหละ นั่งยังไม่ทันอุ่นดีเลย คุณพยาบาลเข็นเสาน้ำเกลือเข้ามา (เอ๊ะ ยังไงกัน ยังไม่ทันทำอะไรเลย ให้น้ำเกลือกันซะแล้ว) ก็อึ้งอะซิ คุณพยาบาลคนสวย ก็เลย วิสัชนาว่า เนื่องจากเราต้องอดข้าว อดน้ำ ทำให้ร่างกาย จะไม่แข็งแรงได้ และ เข็มน้ำเกลือที่ คุณพยาบาลกำลังจะจิ้ม ผมนั้น ก็จะมีช่อง ไว้เสียบยาฉีดได้ด้วย เผื่อไว้ในกรณีที่ต้องให้ยาฉีดอะไร ก้จะสามารถให้ทางสายน้ำเกลือได้เลยโดยไม่ต้องโดนจิ้มบ่อยๆ
สัญชาติญานวิศวกร ทำงานทันที จิ้มครั้งเดียว เจ็บครั้งเดียว ไม่ต้องทนหิวด้วย ก็เลย ไม่ทำการคัดค้านแต่อย่างใด หลังจากหมดขวดแรก เขาก็ถามว่าเอาอีกซักขวดมั้ยด้วยความที่คิดวางแผนมาตั้งแต่บ้านแล้วว่ากินข้าวครั้งสุดท้ายตอน10โมงครึ่ง กว่าจะผ่าตัด 4โมงครึ่ง ผ่าตัดอีก1-2ชั่วโมง แถมผ่าแล้วยังไม่แน่ว่าจะกินอะไรได้หรือเปล่า ก็เลยบอกว่าเอาครับ เขาก็เลยเอาขวดใหม่มาเปลี่ยนให้อีก1ขวด แต่ขวดที่2นี้ ให้ได้ไม่ถึง ครึ่งขวดก็มีเหตุการณ์เกิดขึ้น ทำให้ไม่สามารถให้น้ำเกลือต่อได้ ก็คือ ผมเกิดปวดฉี่จะเข้าห้องน้ำ ทีนี้ ด้วยความอวดเก่ง ก็ไม่เรียกภรรยามาช่วยแต่อย่างใด ผมก็ลุกจากเตียงโดยเอามือข้างที่ให้น้ำเกลือ จูงเสาตามไปด้วย จนทำกิจกรรมเสร็จสรรพ เดินกลับมาขึ้นเตียงนอนเหมือนเดิม พ่อลูกชายก็ร้องบอกเสียงดังว่า ป๊า ทำไมมีเลือดในสายน้ำเกลือ ตอนต้นผมก็คิดว่าไม่เป็นไรหรอกน่ะ เดี๋ยวมันก็กลับเข้าไปกับน้ำเกลือ แต่ด้วยความรอบคอบ(ขี้ขลาด) ก็เลยบอกลูกชายว่าให้ไปเรียกคุณพี่พยาบาลคนสวยมาดูหน่อย ว่าเป็นอะไรรึเปล่า พอคุณพยาบาลเข้ามาเห็นก็ ปุชฉาทันทีเลยว่า ไปห้องน้ำมาใช่มั้ยคะ ผมก็บอกว่าใช่ แกก็พยายามจะรีดเลือด กลับเข้าไป แกบอกว่า ถ้าออกมาไม่เยอะไม่เป็นไร แต่ของผมออกมาเยอะ (จากเข็มประมาณ 1 เมตรได้) ถ้าไม่รีดกลับเข้าไปมันอาจจะ คล็อก ได้ ผมก็ทำหน้าเอ๋อๆหน่อย แกก็วิสัชนาให้ฟังว่า เนื่องจากผมเป็นคนตัวสูง(182 ซม.) เมื่อยกมือที่ให้น้ำเกลือ ไปจับเสาน้าเกลือ ในขณะยืน จะทำให้ความดันเลือดสูงมากพอที่จะดันเลือดย้อนออกจากเข็มเข้าไปในสายน้ำเกลือได้ ถ้าออกมาไม่มากซัก 2-3 ซม. เมื่อกลับไปนอน ความดันเลือดลดลง น้ำเกลือก็จะพาเลือดกลับเข้าไปในเข็มได้ หมด ก่อนที่เลือดจะแข็งตัว แต่ถ้า ออกมาเยอะๆ เลือดจับตัวเป้นลิ่มก็จะอุดตันช่องเข็มทำให้น้ำเกลือไม่สามารถไหลเข้าได้ ซึ่งได้แก่กรณีที่เกิดขึ้นกับผม ทำให้ต้องถอดน้ำเกลือที่เหลือนั้นทิ้งไป(จริงๆแล้วคุณพยาบาลแกจะเปลี่ยนสายน้ำเกลือให้ แต่ถ้าเปลี่ยนสายน้ำเกลือ ก็ต้องถอดเข็มเก่าออก แล้วจิ้มเข็มใหม่อีกที เรื่องอะไรจะยอมเจ็บตัวอีก) ตกลงก็เลยถอดเข็มออกโดยทิ้งน้ำเกลือขวดนั้นไป
นั่งๆนอนๆ จนถึง 3 โมงเย็น คุณพยาบาลก็เข้ามาบอกว่า คุณหมอเลื่อนเคสให้เร็วขึ้น ให้อาบน้ำแล้วเปลี่ยนเป็นชุดผ่าตัดเลย เดี๋นวจะเอาเตียงมารับ ผมก็ อาบน้ำ เปลี่ยนชุด เสร็จแล้วก็มานอนรอบนเตียง คุณพยาบาลแกก็เข้ามาบอกว่า ต้องขอโทษด้วย แกบอกผิดเคส ที่เลื่อนเร็วขึ้นนั้นเป็นอีกเคสหนึ่ง ไม่ใช่เคสผม ผมก็หัวเราะแล้วบอกว่าไม่เป็นไรครับ แหะๆ
นั่งได้อีกซักพักพยาบาลเข้ามาบอกว่า มีปัญหาบางประการทำให้เคสของผมซึ่งเดิม คิดว่าจะทำการผ่าตัดได้ประมาณ 16:30 ต้องเลื่อนออกไปเป็น ประมาณ 6 โมงเย็น ผมก็ว่า ไม่เป็นไรครับ(อีกและ)
พอซัก 17:45 พยาบาลก็เอารถเข็นมารับ ลูกชายเดินตามไปส่งถึงจุดห้ามเข้า พยาบาลก็เข็นรถผ่านเข้าไปแล้วก็เอาไปจอดไว้ก่อนถึงห้องผ่าตัดเพื่อรอเคส ก่อนผมให้เสร็จก่อน นอนได้ซักแปบก้มีคุณหมอผู้หญิง เข้ามาซักถาม ว่า รายละเอียดปลีกย่อยบางอย่าง เช่น แพ้ยาอะไร เคยผ่าตัดมาก่อนมั้ย ....
แล้วก็ปล่อยให้ผมนอนรอต่อ ปรากฎว่ามันเป็นช่วงที่สร้างความฟุ้งซ่านได้เป็นอย่างมาก เพราะต้องนอนนิ่งๆ บนเตียงแคบๆ ในห้องแอร์เย็นๆ อยู่นานร่วม 1 ชั่วโมง ลืมตาก็เห็นแต่เพดาน หลับตาก็ได้ยินเสียงพยาบาลกับคุณหมอคุยกัน อยู่บริเวณใกล้ๆ ขยับตัวมากก็ไม่ได้เพราะเตียงแคบ และ ผ้าห่มก็สั้นด้วย อึดอัดจัง
สัณนิษฐานว่า เหตุที่ต้องรอนานคงเป็นเพราะ ต้องรอให้คนไข้ที่ผ่าก่อนผมได้สติก่อนจึงจะนำออกจากห้องผ่าตัด เพราะว่า หลังจากมีเตียงคนไข้เข็นออกมา ได้แป๊บหนึ่ง เขาก็เข็นเตียงผมเข้าห้องผ่าตัดทันที เข้าไปถึงก็ต้องเปลี่ยนเตียง จากเตียงรถเข็นไปนอนบนเตียงผ่าตัด ซึ่งแคบลงไปอีก (คงต้องการให้รับส่งเครื่องมือ กันได้สะดวกมั้ง) เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีการห่อตัวผมด้วยพลาสติก และใช้ สก็อตเทปพันไว้เหมือนเป็นมัมมี่เลย หลังจากนั้น หมอดมยาก็จะเอาหน้ากาก มาครอบจมูกผม บอกว่าขอให้อ๊อกซิเจนหน่อยนะครับ ผมก็นึกว่าคงเป็นอ๊อกซิเจนจริงๆ ปรากฎว่า ที่เคยดูในหนังเวลาเขาวางยาสลบเขาจะให้ นับเลขถอยหลัง ไม่ได้ทำ
รู้สึกตัวอีกที เตียงมาถึงห้องพักแล้ว แรกๆไม่รู้สึกเจ็บเท่าไหร่นะ แต่ต่อมาเจ็บมากขึ้นเรื่อยๆ จน น้ำตาไหลเองอัตโนมัติ โดยไม่ต้องสอึกสะอื้นแต่อย่างใด ด้วยความที่เตรียมตัวมาอย่างดี ผมก็เลยให้ลูกชายหยิบสมุดฉีก กับปากกาที่เตรียมมา (เพราะรู้ว่าหลังผ่าตัดหมอห้ามใช้เสียง 1 อาทิตย์) เขียนบอกให้ถามพยาบาลว่ามียาแก้ปวดมั้ย พยาบาล(ตอนนี้ชักมองไม่ค่อยสวยซะแล้ว) ก็บอกว่ายาแก้ปวดและแก้อักเสบได้ให้แล้ว จะให้อีกทีได้ต้องอีกอย่างน้อย 4 ชั่วโมง
ก็เลยนอนหลับๆตื่นๆ จนกระทั่งเช้า ตอนเช้าลุกไปห้องน้ำ มองกระจก จมูกเหมือนหมูเลย หมอเขาจะเสียบท่อพลาสติกแข็งยาวประมาณ 7-8 ซม.เข้าไปในจมูกทั้งสองข้างและเย็บยึดไว้(เพื่อรักษารูปร่างจมูก)
พอ 9:45 หมอมาดู ก็บอกว่า โอเค เจ็บหน่อยนะ( โห หมอ ไม่หน่อยหรอก เจ็บมากเชียวแหละ) อาการโอเค ไม่มีไข้ ความดันปกติ ไม่มีร่องรอยการอักเสบ เดี๋ยวกลับบ้านได้ กลับไปให้กินอาหารอ่อนๆ จืดๆ เย็นๆ อมน้ำแข็งเล่นบ้างก็ได้ จะช่วยลดอาการบวมของแผล หมอให้น้ำเกลือไป เอาไว้กลั้วคอ หลังอาหาร ห้าม ซื้ดจมูก ห้ามขากเสมหะ ห้ามใช้อะไรแยงเข้าไปในรูของแท่งพลาสติกที่เสียบไว้ หมอนัด 1 อาทิตย์ มาหาหมอเพื่อตัดไหม
ทีนี้แหละอาทิตย์ของความทรมาณทีเดียวเชียวแหละ ก้เจ้าแท่งสองแท่งที่เสียบจมูกอยู่นั้น เนื่องจากหมอห้ามซื้ด ห้ามขาก ห้ามแยง ดังนั้น ในรูของแท่งจึงเต็มไปด้วยเสมหะ และ เลือด เต็มไปหมด ไม่สามารถหายใจทางจมูกได้ ต้องหายใจทางปาก อย่างเดียว ใครอยากรู้ว่าทรมาณขนาดไหนก้ลองหายใจทางปากอย่างเดียวดู (ทำได้ถึงชั่วโมงก็เก่งแล้ว)
ระหว่างนี้สิ่งที่กินได้ก็คือ โจ๊ก ข้าวต้ม แบรนด์ รังนก ไวตามิ้ลค์ ซึ่งต้องทั้งจืด ทั้ง เย็น
เคล็ดลับที่จะทำให้ความทรมาณน้อยลงก็คือ อย่าดูดีวีดี ดูโทรทัศน์ได้แต่อย่าดูหนังเป็นเรื่องๆ ถ้าคุณดูหนังเป็นเรื่องๆ ถึงจะทำให้คุณเพลิน และ ไม่ค่อยคิดถึงเรื่องเจ็บคอ แต่ ก็จะทำให้คุณได้นอนน้อยลง เคล็ดลับที่จะทำให้คุณฟื้นตัวเร็วที่สุด ก็คือ นอนให้มากที่สุดเท่าที่คุณจะหลับได้ โดยปกติยาแก้ปวด และยาแก้อักเสบ ที่หมอให้มา ก็จะมีฤทธิ์ทำให้คุณง่วงอยู่แล้ว ดังนั้น สำหรับตัวผมแล้ว ถ้ารู้สึกง่วง ล้มตัวลงนอนเมื่อไหร่ ก็จะหลับทุกครั้ง
ทุกครั้งที่คุณหลับเมื่อตื่นขึ้นมาความเจ็บในช่องคอคุณก็จะลงลงทุกครั้งครับ
อ้อเกือบลืม ถ้าคุณได้ใช้บริการเหมือนผม ผมแนะนำว่าอย่ารีบกลับบ้าน ขอหมอนอนต่อถ้ามีห้องว่างให้นอนได้นะครับ เนื่องจากว่าค่าห้องคุณเบิกได้บางส่วนอยู่แล้ว ที่ต้องเสียเพิ่ม น่าจะคุ้มค่าเงินเป็นอย่างมาก ดังนี้ครับ ถ้าคุณนอนโรงพยาบาล คุณจะไม่ทรมาณเรื่องจมูกตันครับ เพราะที่ห้องเขาจะมี Suction ไว้ดูดเสมหะ และ เลือด ในจมูกคุณออกได้ตลอดเวลา (24 ชั่วโมง) , นอนห้องแอร์สบาย มีคนวัดไข้วัดความดัน ตลอดเวลา, อาหารก็ไม่ต้องเดือดร้อน แม่บ้านทำ และเหมาะสมกับสภาวะของเราอยู่แล้ว ขอหมออยู่ไปเลย อาทิตย์หนึ่ง เชื่อเถอะว่าคุ้มสุดๆ มีพยาบาลสวยๆมาเช็ดตัวให้ด้วยนะ ซิบอกให้
หลังจากครบหนึ่งอาทิตย์ไปหาหมอ หมอก็จะตัดไหม และเอาแท่งพลาสติกออกให้ ตอนเอาออกก้อึกอักๆๆ เหมือนกันครับ แต่พอเอาออกแล้วเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ หมอดูอาการแล้วก็นัดอีก1อาทิตย์ไปดูแผลอีกที
ก็วันนี้แหละครับที่ผมต้องไปให้หมอดูแผล คิดว่าคงโอเค อาการตอนนี้ก็มีเวลากลืนน้ำลายแล้วจะเจ็บคออยู่บ้าง ซึ่งไม่มากมายอะไร
หวังว่าที่เล่ามาทั้งหมดนี้คงเป็นประโยชน์แก่ ท่านๆที่ได้เข้ามาอ่านบ้างไม่มากก็น้อย
เมื่อหายสนิทดีแล้ว จะเข้ามาอัพเดทใหม่อีกทีครับ