ท่ามกลางอากาศเย็นพอสบาย เราเดินทางมาถึง 'อู่ฮั่น' เมืองเอกของมณฑลหูเป่ย มีพื้นที่ 8,467.11 ตารางกิโลเมตร กับประชากรราว 8,100,000 คน เป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 3,000 ปี และเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในสมัยสามก๊ก ปัจจุบันอู่ฮั่นมีความสำคัญทั้งในฐานะเมืองอุตสาหกรรมเหล็ก รถยนต์ เครื่องจักร อาวุธ จนถึงการผลิตยาสูบ ทำรายได้ราวหมื่นล้านหยวนต่อปี
เพื่อให้สมดังตั้งใจในการเดินทางย้อนรอยสามก๊กครั้งนี้ ทันทีที่คนพร้อม รถพร้อม เราจึงมุ่งหน้าไปยัง 'ผาแดง' (ซานกั๋วชื่อปี้) หรือที่นักอ่านสามก๊กรู้จักกันในชื่อ 'เซ็กเพ็ก' ตั้งอยู่ห่างจากเมืองชื่อปี้ไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ 36 กิโลเมตร ริมฝั่งแม่น้ำแยงซีด้านใต้ เป็นจุดที่ว่ากันว่าเป็นสถานที่ทำสงครามผาแดงระหว่างทัพพันธมิตรของซุนกวนและเล่าปี่กับทัพของโจโฉเมื่อปีค.ศ.208
เหตุการณ์ตามท้องเรื่องสามก๊กฉบับวรรณกรรมระบุว่า หลังจากเล่าปี่ทิ้งเมืองซินเอี๋ยและห้วนเสีย อพยพราษฎร์หนีการตามล่าของทัพโจโฉไปที่เมืองแฮเค้าที่เล่ากี๋ครองอยู่ จากนั้นจึงส่งขงเบ้งไปเจรจากับซุนกวนให้ร่วมกันทำศึกกับโจโฉ บังทองออกอุบายหลอกโจโฉใช้โซ่ผูกเรือทั้งหมดติดกันเป็นแพก่อนโจมตีด้วยไฟ ขณะที่ขงเบ้งทำพิธีเรียกลมพายุมาช่วยโหมเผาทัพเรือโจโฉจนพ่ายแพ้หมดรูป กลายเป็นกรณี 'โจโฉแตกทัพเรือ' นั่นเอง ว่ากันว่าเพลิงที่เผาผลาญกองทัพโจโฉครั้งนั้นทำให้หน้าผาบริเวณนี้ปรากฏเป็นสีแดงเพลิงไปทั่วทั้ง เป็นที่มาของชื่อ 'ผาแดง' หรือ 'ชื่อปี้' นั่นเอง อันที่จริงตลอดริมฝั่งแม่น้ำแยงซีมีจุดที่สันนิษฐานว่าเป็น 'ผาแดง' อยู่หลายแห่ง ก่อนที่นักประวัติศาสตร์จะร่วมกันลงความเห็นว่าจุดที่เรียกว่าผาแดงในปัจจุบันคือบริเวณที่ตรงตามประวัติศาสตร์มากที่สุด
หลังจ่ายค่าเข้าชมเรียบร้อย เราเริ่มต้นเส้นทางเดินสู่ผาแดงที่ 'กระท่อมบังทอง' แน่นอนว่าหลังเหตุการณ์ผ่านไป 1,800 ปีตัวกระท่อมของจริงย่อมไม่เหลือเศษซากให้เห็น มีเพียงอาคารหลังเล็กที่สร้างใหม่ตรงจุดที่คาดว่าเคยเป็นที่อาศัยของบังทอง กับต้นแปะก๊วยโบราณที่ว่ากันว่าบังทองเป็นผู้ลงมือปลูกด้วยตนเอง
จากกระท่อมบังทอง เราเดินต่อไปตามขั้นบันไดมุ่งหน้าขึ้นเขาชื่อปี้ จนถึง 'แท่นเรียกลม' ซึ่งเชื่อว่าเป็นจุดที่ขงเบ้งทำพิธีเรียกพายุนอกฤดูมาโจมตีกองทัพเรือโจโฉ เราพยายามมองหาแม่น้ำแต่ไม่เห็นเพราะมีป่าไม้ขวางอยู่เต็มตา แต่หากนึกภาพว่าไม่มีต้นไม้มาบังขงเบ้งก็อาจจะยืนบนแท่นพิธีแล้วมองลงไปเห็นแม่น้ำได้เหมือนกัน
เดินต่อไปตามทางก็จะพบกับ 'พิพิธภัณฑ์สงครามผาแดง' จุดนี้มีการจัดแสดงโบราณวัตถุบางส่วนที่ค้นพบในพื้นที่ มีข้อมูลเรื่องการศึกที่ผาแดงให้อ่านพอเข้าใจ ชุดขุนศึกให้ใส่ถ่ายรูปเล่นได้ถ้าไม่กลัวโรคติดต่อทางผิวหนัง ออกจากจุดนี้เดินต่อไปก็จะพบกับทางเดินเท้าที่ทอดยาวขึ้นลงตามแนวเนินเขา สองข้างทางกำลังมีการก่อสร้างอาคารสถานที่ตามประวัติศาสตร์สามก๊ก เช่น หอบัญชาการรบ ฐานทัพกองทัพง่อก๊ก ฯลฯ เพื่อพัฒนาพื้นที่ตรงนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเต็มรูปแบบ
ประคองร่างเดินขึ้นเขาลงเนินกันพอเหนื่อย ในที่สุดเราก็เดินมาถึงเชิงผาแดงริมแม่น้ำแยงซีเสียที มหานทีกว้างใหญ่มองแทบไม่เห็นฝั่งตรงข้ามดูแล้วก็หลับตานึกภาพกองเรือมหึมาของโจโฉที่รุกคืบเข้ามา อาจจะเป็นลมแม่น้ำพัดเย็นเดียวกันนี้เองที่โหมเพลิงเผาทัพเรือโจโฉมอดไหม้ไปตามกัน แต่จะเป็นเพราะฝีมือการเรียกลมของขงเบ้งหรือโจโฉตัดสินใจเผาเรือตัวเองระหว่างถอนทัพเพื่อไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามเอาไปใช้ได้ก็แล้วแต่ว่าจะเลือกเชื่อ 'ตำนาน' หรือ 'ประวัติศาสตร์' อย่างไรก็ตาม เดินไกลมาถึงจุดนี้ใครไม่ถ่ายรูปคู่กับตัวอักษร 'ผาแดง' เป็นที่ระลึกถือว่าพลาดอย่างไม่น่าให้อภัย