Author Topic: ทำไมควรศึกษาบริการ seo รับทำ seo ติดหน้าแรก google โดย CSLSEO  (Read 4092 times)

LinePC001

  • Guest
CSLSEO.com ให้บริการ seo รับทำ seo ติดอันดับกูเกิล
 
SEO สามตัวอักษรนี้ น่าจะเป็นคำที่หลายท่านคุ้นเคยหรือรู้จักกันดี โดยเฉพาะคนที่มีเว็บของตัวเองหรือรับทำเว็บก็ตาม เพราะนอกจากจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยทำให้ยอดจัดจำหน่ายเพิ่มมากขึ้นได้แล้ว SEO ยังมีความสำคัญกับเว็บไซต์มากชนิดที่เรียกได้ว่า ถ้าเว็บไหนไม่มี หรือไม่ได้ทำ SEO ไว้ เว็บนั้นอาจต้องเตรียมปิดตัวลงในอีกไม่นานก็เป็นได้
 
SEO หรือ Search Engine Optimization คือ การปรับปรุงเว็บ (ทั้งหมด) ให้มีความเหมาะสมในการติดอันดับการทำการค้นหาของเครื่องมือทำการค้นหายอดนิยมอย่าง Google แต่การที่จะทำให้เว็บของเราไต่ขึ้นไปอยู่อันดับต้นๆ ในหน้าการทำการค้นหาหน้าแรกของ Google ได้นั้น มีความจำเป็นที่่จะอยากได้ปรับปรุงเว็บในหลายๆ ส่วน ไม่ว่าจะเป็น Content (เนื้อหา), ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บไซต์ หรือแม้กระทั่งโครงการของเว็บไซต์ ก็มีผลด้วยเช่นกัน
 
ก่อนอื่นลองคิดตามนะครับว่า ถ้าสมมุติว่า คุณอยากไปเที่ยวที่จังหวัดเชียงใหม่ และเข้าไปค้นหาข้อมูลบน Google โดยใช้คำว่า “ที่พักเชียงใหม่” ซึ่งเป็น Keyword ในการทำการค้นหา ผลลัพธ์ที่ได้กลับมาก็คือ รายชื่อของของเว็บไซต์ ที่มีความสัมพันธ์กับ Keyword ที่ใช้ทำการค้นหาไป ที่นี้พอจะนึกภาพออกใช่ไหมครับว่า ถ้าเว็บของเรา ถูก Google นำไปเสนอเป็นข้อมูลในการทำการค้นหาลำดับแรกๆ ให้กับผู้ที่ทำการค้นหา ก็จะยิ่งทำให้เว็บไซต์ของเรามีปริมาณคนเข้าชมเว็บไซต์เพิ่มมากขึ้นด้วยนั้นเอง
 
อย่างที่ได้กล่าวไปว่า SEO สามารถช่วยเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บของเราให้มากขึ้นได้ ดังนั้นเมื่อมีคนเข้ามาบนเว็บไซต์ของเรามากเท่าไร ความน่าจะเป็นที่เราจะจำหน่ายของก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมมากเท่านั้น ถ้าไม่เชื่อ! ลองมองดูโลกของเรื่องจริงที่ว่า ถ้าหากเราเปิดร้านจำหน่ายของในแหล่งช้อปปิ้งยอดนิยม ที่มีผู้คนพลุกพล่าน ร้านค้าออนไลน์ของเรา ก็จะมีลูกค้าแวะเวียนเข้ามาเยี่ยมชมมากเท่าใด และโอกาสที่เราจะขายผลิตภัณฑ์ได้ก็มีมากตามไปด้วย ซึ่งโลกของอินเตอร์เน็ตก็เช่นกัน ถ้าเว็บไซต์ของเราถูกจัดอันดับให้แสดงผลอยู่ในลำดับแรกๆ ของผลการค้นหา นั้นหมายถึง “ทำเลทอง” เพราะจะมีผู้เยี่ยมชมคลิกเข้าสู่เว็บของเรามากมาย และความน่าจะเป็นที่จะเปลี่ยนให้ผู้เข้าชมเหล่านั้นกลายเป็นลูกค้าก็มีมากตามไปด้วย
 
ดังนั้นจะเห็นได้ว่า การทำ SEO กับเว็บในปัจจุบัน เป็นสิ่งที่สำคัญ และจำเป็นเป็นอย่างมาก จนน่าจะเป็นสิ่งตัดขาดจากกันไม่ได้ซะแล้ว โดยเฉพาะคนที่ต้องการดำเนินธุรกิจร้านค้าบนเว็บด้วยแล้ว ยิ่งต้องให้ความสำคัญกับ SEO เป็นอย่างมาก เพราะสามารถทำให้ธุรกิจคุณดังและปังได้ทันทีในพริบตา
 
 
ในเมื่อก่อนร้านค้าออนไลน์ บริษัท หรือหน่วยงาน มีเว็บเพื่อสร้างความน่าไว้วางใจเท่านั้น โดยไม่ได้คำนึงถึงการใช้ประโยชน์ของเว็บไซต์อย่างเต็มที่ ทำให้ไม่เกิดความคุ้มค่าในการลงทุนทำเว็บไซต์ แต่ในปัจจุบันนี้ทุกๆ คนสามารถเข้าถึงเครือข่ายอินเตอร์เน็ตได้อย่างแพร่หลาย ทุกที่ทุกเวลา ทำให้ร้านค้าออนไลน์ บริษัทหรือองค์กรต่างๆ เห็นคุณค่าถึงความสำคัญของการทำเว็บเพื่อเปิดหนทาง ทางการค้ามากขึ้น จึงทำให้สมัยนี้มีเว็บเกิดขึ้นเยอะแยะ การที่ทุกๆ คนจะจดจำ URL (Uniform Resource Locator) ของแต่ละเว็บไซต์นั้น ดูจะเป็นเรื่องที่ยากซะเหลือเกิน จึงจำเป็นต้องพึ่ง Search Engine เข้ามาช่วยในการสร้างความจดจำ และง่ายต่อการเข้าถึงเว็บ
 
Google Search คือ โปรแกรมที่ช่วยในการสืบค้นข้อมูลบนเครือข่ายคอมพิวเตอร์ โดยผู้ใช้จะต้องกรอกคำสำคัญ (Keyword) ในการค้นหา จากนั้น Search Engine จะแสดงผลการค้นหาออกมา เป็นเว็บไซต์หลายๆ เว็บไซต์ ที่มีความสอดคล้องกับ Keyword นั้น นั่นก็หมายความว่า เว็บไซต์ที่แสดงผลในอันดับต้นๆ ของ Google Search ที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดทั่วโลกอย่าง Google ก็จะมีคนคลิกเข้าไปดูเว็บไซต์นั้นเป็นจำนวนไม่น้อย เมื่อมีคนเข้าชมเว็บเป็นจำนวนไม่น้อย จึงทำให้เกิดประโยชน์ตามมามากมาย เช่น การขายสินค้าหรือบริการ การจำหน่ายโฆษณา การโปรโมทเว็บไซต์ไซต์ เป็นต้น ในทางกลับกัน ถ้าคุณมีเว็บ แต่เว็บไซต์ของคุณไม่ได้แสดงผลอยู่ใน Search Engine แล้วล่ะก็ เว็บไซต์ของคุณก็ไม่ต่างอะไรกับเว็บร้าง ที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆ เลย ด้วยเหตุผลนี้เอง เว็บต่างๆ ย่อมอยากได้ให้เว็บของตัวเอง ติดอยู่ในอันดับแรกๆของ Search Engine จึงเป็นที่มาของการทำ SEO นั่นเอง
 
SEO ย่อมาจาก Search Engine Optimization หมายถึง การจัดทำหรือปรับปรุงเว็บให้แสดงผลเป็นอันดับต้นๆ ของการค้นหาใน Google Search ใน Keyword ที่เหมาะสมและตรงตามจุดมุ่งหมายของเว็บ เพื่อทำให้อยู่ในระดับมุมมอง และสามารถดึงดูดความใส่ใจจากลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว
 
 
 
SEO คืออะไร? ดันเว็บไซต์ติดอันดับ Google ไม่ยากอย่างที่คิด
 
SEO ย่อมาจาก Search Engine Optimization คือกลยุทธ์ทางการตลาดออนไลน์ประเภทหนึ่งที่เน้นการปรับแต่งเว็บและคอนเทนต์ต่าง ๆ ให้พึงพอใจระบบผลการค้นหาของ Google หรือที่เราเรียกกันว่า Search Engine (Google Search อื่นๆ นอกจาก Google เช่น Yahoo, Bing เป็นต้น)
 
เพื่อทำให้หน้าเว็บธุรกิจของเราติดหน้าแรกของผลการค้นหา ส่งผลให้เพิ่มการมองเห็นแบบ Organic Traffic (ยอดเข้าชมเว็บโดยไม่มีค่าใช้จ่าย) เข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น และประโยชน์อีกมากมายที่ธุรกิจคุณควรเริ่มทำ SEO ซึ่งข่าวดีของคนที่ชอบการทำ SEO คือ มันฟรี!! แต่จะต้องเข้าใจกันก่อนว่าการทำ SEO ให้ติดหน้าแรกนั้นต้องใช้เวลาระดับหนึ่ง
 
ซึ่งบางคนอาจจะใช้เวลาถึง 6 เดือน หรือบางท่านก็ต้องใช้เวลาเป็นปี แต่รับประกันว่าหากท่านได้พื้นที่อันดับ 1 มาครองบนหน้าผลการค้นหาของ Google ยอดขายของคุณจะสูงขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือความสม่ำเสมอ เพราะเป้าหมายของการทำ SEO ไม่ใช่เพียงแค่ทำให้เว็บติดอันดับเท่านั้น แต่รวมถึงการบำรุงรักษาอันดับให้คงไว้ที่เดิมและไม่ทำให้ตกอันดับ ถ้าหากเราหยุดทำ SEO เมื่อไหร่ก็มีความเป็นไปได้ว่าเว็บไซต์คู่แข่งของเราจะเข้ามาแทนที่
 
แล้ว SEO ที่เราพูดถึงนี้คืออะไรกันแน่ มีแนวทางการปฏิบัติงานอย่างไรบ้าง หากท่านอยากรู้ ทีม CSLSEO จะมาเล่าให้ฟัง
 
 
ทำความรู้จัก Google Search เหตุผลที่หลายธุรกิจอยากได้ทำ SEO
 
เมื่อเราอยากจะทำ SEO ให้ประสบความสำเร็จ เรามีความจำเป็นจะต้องรู้เสียก่อนว่า Google Search มีการปฏิบัติงานยังไง ซึ่งเป็นเหมือนปัจจัยหลักของกลยุทธ์การตลาดในครั้งนี้
 
หน้าที่หลักของ Google Search อย่าง Google คือการค้นหาข้อมูลที่มีอยู่มหาศาลบนโลกอินเตอร์เน็ตมาจัดเรียงลำดับความเกี่ยวข้อง เพื่อทำให้ผู้ค้นหา (Searchers) เกิดความพึงพอใจต่อการทำการค้นหามากที่สุด ส่วนมากแล้วคนที่จะเข้ามาใช้ Search Engine นั้นมีเป้าหมายเพื่ออยากได้หาผลลัพธ์ให้กับอะไรสักอย่าง โดยใช้เวลาในการทำการค้นหาน้อยที่สุด จึงทำให้ความเร็วของผลการค้นหา, ความสอดคล้องของเนื้อหา, ประสบการณ์การใช้งาน และความน่าเชื่อถือ เป็นสิ่งสำคัญเพื่อตอบสนองต่อความอยากของผู้ใช้งาน
 
แล้ว Google Search ใช้วิธีอะไรในการจัดเก็บข้อมูล และจัดเรียงอันดับเว็บไซต์? เราสามารถแบ่งการทำงานของ Search Engine ได้เป็น 3 แนวทางด้วยกัน คือ
 
1. Crawling (การเก็บข้อมูล): ระเบียบการการทำการค้นหา ที่จะส่ง Bot (Crawler or Spider) ท่องไปตามหน้าเว็บไซต์ต่างๆ เพื่อรวบรวมข้อมูลตั้งแต่หน้าเว็บไซต์, URLs, หัวข้อ, บทความ, รูปภาพ , วิดีโอ และอื่นๆ จนทั่วเว็บ เมื่อสแกนเว็บหนึ่งจนเสร็จ ตัว Bot นี้จะทำการค้นหาลิงค์ต่าง ๆ ในหน้าเว็บที่เราได้ทำการเชื่อมต่อกับเว็บไซต์อื่นเอาไว้ และเข้าไปในเว็บไซต์นั้นเพื่อทำการสแกนต่อไปเรื่อย ๆ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ Search Engine สามารถเก็บข้อมูลสดใหม่บนเครือข่ายคอมพิวเตอร์ได้อย่างรวดเร็ว
 
2. Index ing (ทำดัชนี): ภายหลังทำการสแกนข้อมูลเว็บจนเสร็จสิ้น ระบบจะทำการ อินเด็กซ์ing หรือการเก็บข้อมูลทั้งหมดไว้ในคลัง ซึ่งการ อินเด็กซ์ เปรียบเสมือนห้องสมุดที่รวบรวมเว็บไซต์ทั้งหมดไว้ในที่เดียว ทุกเว็บที่ต้องการแสดงอยู่บนผลการค้นหา จำเป็นจะต้องผ่านระบบการ อินเด็กซ์ing ของ Search Engine เสียก่อน
 
3. Ranking (ค้นหาและจัดอันดับ): สุดท้ายเมื่อผู้ค้นหาเริ่มทำการค้นหาข้อมูล Search Engine จะทำการหาข้อมูลเว็บที่มีความสอดคล้องมากที่สุด จากคลัง อินเด็กซ์ แล้วนำมาแสดงผลให้ผู้ค้นหาเห็นในหน้าผลการค้นหา ซึ่งอันดับที่เราเห็นในหน้าผลการค้นหาตอนเรา Search เราเรียกกันว่าการ Ranking ซึ่งปัจจัยในการจัดอันดับของ Google ประกอบด้วยหลายอย่างด้วยกัน เช่น Keyword, URLs, ความน่าเชื่อถือและ อื่นๆ
 
 
ความรู้ SEO ขั้นพื้นฐาน
เริ่มสร้างเว็บไซต์ขึ้นหน้าแรก Google เพียง 4 ขั้นตอน
 
1. ทำการค้นหา Keyword ที่ใช่สำหรับธุรกิจคุณ
 
เพื่อเชื่อมต่อการเข้าถึงระหว่างเว็บไซต์ และผู้ค้นหา เราจำเป็นจะต้องมี “Keyword” (คีย์เวิร์ด) เป็นเหมือน GPS นำทางผู้ค้นหามาเจอเว็บไซต์ของเรา หากเราสังเกตเมื่อเราใส่ คำ หรือวลี อะไรก็ตามลงในช่องการค้นหา เราจะเห็นหัวข้อที่มีคำเดียวกับการทำการค้นหาของเราเสมอ
 
แบบอย่างจากในภาพ เมื่อเราลอง Search คำว่า “SEO คืออะไร” ซึ่งก็คือ Keyword ของเรา หน้าผลการค้นหาของเราจะแสดงเนื้อหาที่มีความเกี่ยวข้อง และเว็บไซต์ที่มีโอกาสจะตอบสนองความประสงค์ของเรามากที่สุด เว็บชั้นนำต่าง ๆ ที่แสดงอยู่หน้าแรกก็จะนำ Keyword (SEO คืออะไร) เข้าไปอยู่ในบทความ และหัวข้อ (กรอบสีเขียว) เพื่อทำให้ Google เข้าใจว่าเนื้อหาของเรามีความสัมพันธ์กับสิ่งที่คนกำลังทำการค้นหา
 
ซึ่งหากจะพูดให้เข้าใจง่ายก็คือ Keyword เหมือนความปรารถนาของผู้ค้นหานั่นเอง ส่วนคนทำคอนเทนต์หรือแบรนด์อย่างเราก็ต้องทำให้เว็บไซต์ของเราตอบสนองความอยาก โดยการใช้ Keyword ด้วยเหตุนี้หากอยากสร้างให้เว็บไซต์ติดอันดับหน้าแรกของ Google การทำการค้นหา Keyword ที่มีประสิทธิผลจึงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก
 
การทำการค้นหา Keyword เป็นเพียงขั้นตอนแรกของการทำ SEO เพื่อทำให้ยูสเซอร์สามารถเจอเว็บไซต์ของเราได้ง่ายขึ้นเท่านั้น จนทำให้เกิดเป็น Organic Traffic
 
 
2. ปรับโครงสร้างเว็บไซต์ (Structure) เข้าใจง่ายทั้งผู้ใช้งานและ Search Engine
 
ต่อมาเมื่อเราสามารถนำผู้ใช้งานเข้ามาเว็บเราได้แล้ว เราต้องมั่นใจว่าเว็บของเรามีโครงสร้างที่ดีพอจะส่งเสริมให้ผู้ค้นหาชอบ และอยู่ในหน้านั้นๆ ต่อเป็นระยะเวลานาน เพราะ Organic Traffic ที่เข้ามาจะกลายเป็น High Quality Traffic (คงอยู่เว็บไซต์เป็นเวลานานจนสามารถเปลี่ยนเป็นยอดจัดจำหน่าย) หรือ Poor Quality Traffic (เข้ามาและกดออกจนทำให้เกิด Bounce Rate หรือไม่เกิดยอดจัดจำหน่าย) จะขึ้นอยู่กับความน่าใช้งานของเว็บไซต์เรา
 
ทั้งนี้การดีไซน์โครงสร้าง SEO เว็บที่ดีจะทำให้ Search Engine Bot ทำงานได้ง่ายขึ้น ซึ่งจะส่งเสริมให้ระบบ Bot สามารถเข้าถึงและ อินเด็กซ์ ข้อมูลบนเว็บได้อย่างรวดเร็ว โครงสร้างของเว็บไซต์จะเป็นเหมือนผู้นำทัวร์ให้ Bot ของ Google Search และ ผู้ค้นหาได้พบสิ่งที่อยากได้ได้อย่างสะดวก ส่งผลให้เกิด UX (User Experience) หรือประสบการณ์สำหรับใช้งานที่ดีต่อผู้ค้นหาเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม (UX เป็นปัจจัยหนึ่งที่สามารถทำให้ผู้ใช้งานอยู่เว็บเรานานขึ้นและช่วยในเรื่อง Ranking)
 
หนึ่งตัวอย่างของการสร้างเว็บไซต์ SEO ที่ดีคือ การแบ่งหมวดหมู่และหัวข้อของ Content ต่างๆ อย่างแม่นยำเพื่อความง่ายต่อการค้นหา ซึ่งจากรูปภาพด้านบนจะสังเกตได้ว่าเว็บไซต์นี้ มีหัวข้อใหญ่อยู่ด้านซ้ายมือ และเมื่อเข้ามาจะเจอกับหัวข้อย่อยต่างๆ ทำให้การทำการค้นหาคอนเทนต์ที่อยากได้สำหรับผู้ค้นหาสามารถทำตามได้ง่าย ทั้งนี้หากเราสามารถใส่ Keyword เข้าไปในแต่ละหัวข้อได้ ก็จะเป็นการเพิ่มประสิทธิผลการทำ SEO ของเรา แต่ Keyword นั้นมีความจำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับบทความด้วย หากใส่ Keyword แล้วคำดูแปลก หรือดูเหมือนจงใจมากเกินไปจะส่งเสริมให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี
 
นอกจากนั้น การสร้างเว็บที่มีประสิทธิผลยังมีวิธีที่หลากหลาย เช่น การเพิ่มความเร็วของเว็บ, การทำ Sitemap, การปรับ URLs เป็นต้น จำเอาไว้ว่าปัจจัยสำคัญที่เราควรนึกถึงอยู่สม่ำเสมอเมื่ออยากได้ทำ SEO เว็บนั้นก็คือ ประสบการณ์ที่ดีของยูสเซอร์ (User Experience)
 
 
3.  On-Page Optimization
 
การทำ On-Page Optimization คือการเพิ่มประสิทธิผล SEO ในหน้าโฮมเพจของเรา เพื่อเชื่อมั่นว่าหน้าเว็บนั้น ๆ สามารถไต่อันดับหน้าผลการค้นหาให้อยู่เหนือฝ่ายตรงข้ามในตลาดได้ ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของ Tittle Tag, Heading, Alt-Text สำหรับรูปภาพ และ Meta Description เป็นต้น ซึ่งส่วนสำคัญของการทำ On-Page Optimization ให้สำเร็จนั้นคือ คุณภาพ Content และ Keyword เช่นการเขียนบล็อก และปรับเนื้อหาเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลต่อ SEO อย่างสูงสุด
 
เราสามารถเริ่มการทำ On-Page Optimization จากการปรับ Title Tag, Meta Description, Heading, Alt Text, URLs โดยการแทรกสอด Keyword เข้าไปในส่วนต่างๆ เป็นต้น
 
- Title Tag: หัวข้อเนื้อหาที่เราอยากได้ให้แสดงอยู่บนหน้าผลการค้นหาของ Google เราควรใช้เวลาในการคิดชื่อหัวข้อให้น่าสนใจ เพราะจะส่งเสริมให้เกิดปริมาณคลิกเข้าเว็บไซต์มากที่สุด
 
- Meta Description: คำชี้แจงสั้นๆ เพียง 140 ตัวอักษรที่ปรากฏอยู่บนหน้าผลการค้นหาของ Google เป็นคำบรรยายเพิ่มมากขึ้นจาก Title Tag ว่าหากผู้ค้นทำการคลิ๊กเข้ามาหน้าเว็บเขาจะเจอ Content แบบไหน Meta Description ควรเป็นเนื้อหาพูดถึงเหตุผลว่า ทำไมผู้ค้นหาควรจะเข้ามาเว็บไซต์ของเรามากกว่าเว็บฝ่ายตรงข้าม
 
- Heading: หัวข้อต่างๆ บนหน้าโฮมเพจ ซึ่งแบ่งออกเป็น H1 - H6 ซึ่ง H1 แสดงถึงหัวข้อหลักของ Content เราควรมีหัวข้อหลักเพียงหนึ่งหัวข้อเท่านั้น เพื่อไม่ทำให้เกิดการสับสนของยูสเซอร์และ Google Search Bots ส่วน H2-H6 แสดงถึงหัวข้อย่อยตามลำดับ
 
- Alt-Text: Keyword ที่เราสามารถสอดแทรกเข้าไปในรูปภาพ เพื่อเพิ่มโอกาสการทำการค้นหา Keyword จากรูปภาพ เคยข้องใจไหมว่าหน้าผลการค้นหาแบบรูปภาพของ Google นำข้อมูลอะไรมาดูว่าแต่ละภาพ มีความเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เราทำการค้นหา คำตอบก็คือ Alt-Text หรือ Keyword ในรูปภาพนั่นเอง
 
- URLs: เราสามารถปรับลิงค์ URLs บนเว็บให้มีความสอดคล้องกับคีย์เวิร์ดได้จากการสอดแทรก Keyword ลงไปในส่วนด้านหลังชื่อ Domain หลัก
 
 
4. Off-Page Optimization
 
ในทางตรงกันข้าม Off-Page Optimization คือการเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผล SEO นอกเว็บไซต์ ซึ่งหมายถึงการที่มี Link ของเราจากเว็บอื่น ๆ อ้างอิงถึงเรา หรือกล่าวถึงเรา เหมือนหน้าร้าน ที่มีลูกค้าพึงพอใจผลิตภัณฑ์ของเรา พวกเขาก็จะบอกต่อให้ผู้อื่นได้รับรู้และแนะนำให้เข้ามาที่ร้านของเรา การทำ Off-Page Optimization จะอยู่ในกฎเดียวกัน ยิ่งมีเว็บข้างนอก Link เข้ามาหาเว็บของเรามากเท่าไหร่ ความน่าไว้วางใจที่ Google มีต่อเว็บไซต์ของเราจะมากขึ้นเท่านั้น
 
ปัจจัยหลักของการทำ Off-Page Optimization คือการสร้าง Link ที่มีประสิทธิภาพเชื่อมโยงกลับมาหาเว็บของเรา หรือที่เรากันว่า Backlink นั่นเอง
 
การทำ Backlink ที่มีประสิทธิผลมากที่สุดคือการเขียนคอนเทนต์ที่มีประโยชน์สำหรับยูสเซอร์มากจนเป็นที่กล่าวถึง และผู้ใช้งานจะนำ Link ของเราไปอ้างอิงด้วยตนเอง ซึ่งวิธีนี้คือการทำ Backlink แบบธรรมชาติ แต่การจะส่งเสริมให้คอนเทนต์ของเราถูกบอกต่อในโลกที่มีคอนเทนต์อย่างมากมายก่ายกองในอินเตอร์เนต เป็นเรื่องที่ยากมากๆ หากเราไม่เจ๋งจริง
 
ดังนั้น เราสามารถเริ่มการสร้าง Backlink ได้จากการเขียนคอนเทนต์ลงบนเว็บบอร์ด หรือกระทู้ที่มีบทความเกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ของเราและสร้าง Link กลับมาหาเว็บไซต์ อีกทั้งวิธีหนึ่งที่เราคงจะคุ้นเคยกันดีคือ วิถีทาง Social Media ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Youtube, Twitter etc. แชร์ Content ของเราผ่านช่องทางเหล่านี้สามารถเพิ่ม Organic Traffic ได้เป็นอย่างดี
 
http://linepc.online/