Author Topic: รวมเนื้อหา แก้ปัญหาการนอนกรน  (Read 6429 times)

mr_a

  • Guest
ขอขอบคุณhttp://www.bloggang.com/viewblog.php?id=pooce62&group=1&page=2


ไปผ่าตัดแก้นอนกรนมา

ขอท้าวความก่อน เพื่อความเข้าใจ ตั้งแต่ต้นเรื่อง
คือผม มีอาการนอนกรน มาตั้งแต่ไหนแต่ไร จนจำความไม่ได้ว่าเริ่มกรนตั้งแต่เมื่อไหร่
การกรนของผมก็อยู่ในระดับแนวหน้าของอาการชนิดนี้ กล่าวคือ สามารถสร้างความรำคาญให้แก่ผู้ใกล้ชิด อันได้แก่ ภรรยาของผม จนต้องแยกที่นอนกัน มีคนเดียวที่มีความสามารถนอนห้องเดียวกับผมได้ก็คือ ลูกชาย ที่ชักจะมีแนวโน้มว่าโตขึ้นก็อาจจะมีอาการเหมือนผม เพราะได้ยินเสียงนอนกรนแบบยังเบาๆอยู่บ้างเป็นครั้งคราว
ทีนี้อยู่มาวันหนึ่งก็อ่านในหนังสือพิมพ์เจอวิธีการแก้ไขโรคนอนกรนโดยไม่ต้องผ่าตัด อ่านดู ก็ได้ใจความว่าเขาใช้วัตถุชนิดหนึ่งซึ่งมีคุณสมบัติ ให้ตัวได้ สอดเข้าไปในเพดานอ่อน เพื่อไม่ให้เพดานอ่อนลงมาปิดทับช่องทางหายใจ และราคาก็แพงประมาณ 3 หมื่นกว่าบาท ผมก็เลยได้แรงบันดาลใจว่า เอ๊ มันน่าจะมีวิธีรักษาโรคนอนกรนโดยวิธีอื่นๆอีกมั้งเนี่ย เขาเลยเรียกวิธีนี้ว่าเป็นการรักษาทางเลือก อย่ากระนั้นเลย เราจงใช้ Google เสาะหาดูคงจะรู้เป็นแน่
แอ่น แอ๊น หาไปหามา อ่านดูหลายคอลัมน์ ก็มาเจอที่คิดว่าน่าจะเข้าท่าที่สุด ก็คือ คลีนิคพิเศษรักษาโรคนอนกรนของโรงพยาบาล จุฬาฯ
ว่าแล้วก็ไม่รอช้า รีบ โทร 1133 ถามเบอร์โรงพยาบาลจุฬา เพื่อทำนัด
(จันทร์-ศุกร์ 8:00-16:00 โทร 02-2565193-4
เสาร์-อาทิตย์ 8:00-12:00 โทร 02-2565166, 02-2565175)
ขอแจ้งให้ทราบเป็นความรู้ว่า ถ้าท่านไม่โทรไปทำนัดก่อน อยู่ดีๆ ท่าน walk in เข้าไปที่โรงพยาบาลเลย ท่านก็จะต้องจ๋อย เพราะ เขาจะให้ท่านทำนัดในวันนั้น ส่วนจะได้นัดเมื่อไหร่ก็ขึ้นอยู่กับคิวของคนไข้ที่มีอยู่ก่อนหน้าที่ท่านจะติดต่อ ในกรณีของผมค่อนข้างจะโชคดีก็ได้นัดหมอหลังจากวันนัดประมาณ 3 อาทิตย์กว่าๆหน่อย
คุณหมอที่ตรวจผม เป็น Specialist ทางนี้(รักษาโรคนอนกรน) คือ รศ.นพ. ประกอบเกียรติ หิรัญวิวัฒน์กุล ท่านทั้งรักษาโรคด้วย และ เก็บข้อมูลทำวิจัยเพื่อพัฒนาวิธีรักษาด้วย ดังนั้น อาการใดๆที่เกี่ยวข้องกับการนอนกรน ท่านจะรู้ที่มาที่ไปหมด
ไปตรวจครั้งแรก ท่านจะสอดกล้อง เข้าไปในรูจมูกเราทั้งสองข้างเพื่อดูว่าผนังจมูกของเรานั้น ตรง หรือ คด มากน้อย เพียงไร และท่านก็จะให้เราไปถ่ายเอ็กซเรย์ในช่วงปากถึงคอ เพื่อ นำมาวินิจฉัยในครั้งต่อมา
ปกติคุณหมอจะนัดครั้งละประมาณ 1 เดือน โดยที่คุณหมอก็จะให้ยาแก้คัดจมูกมากิน ให้น้ำเกลือมาฉีดล้างโพรงจมูก ให้ยาพ่นจมูกมาพ่นก่อนนอน เพื่อที่จะดูว่าหลังจาก กินยา ล้างน้ำเกลือ พ่นยา แล้ว อาการนอนกรนดีขึ้นบ้างมั้ย ก็สรุปได้ว่า อาการดีขึ้น แต่ก็ยังกรนอยู่
เมื่อครบกำหนดนัด ไปหาคุณหมอ พร้อมฟิล์มเอ็กซเรย์ คุณหมอก็จะวินิจฉัยให้เราฟัง โดยให้คนไข้ทั้งหมดที่ไปในวันนั้นมาดูฟิล์มเอ็กซเรย์ของทุกๆคน แล้วท่านก็จะอธิบายให้ทุกๆคนฟัง เป็น case by case
สามารถสรุปโดยภาษาชาวบ้านง่ายๆได้ว่า การนอนกรนนั้น เกิดขึ้นเนื่งจากมีการไปขวางทาง ทางเดินหายใจ ทำให้ช่องทางเดินหายใจ แคบลง จนถึง ขั้น อุดตัน
สาเหตุของการขวางทางเดินหายใจก็มีด้วยกัน หลายอย่าง เช่น
ผนังกั้นจมูกคด เมื่อนอนปิดปากหายใจทางจมูก แล้วนอนตะแคงทางด้านที่ทำให้ผนังจมูกด้านทีแคบกว่ากดทับมาทางด้านจมูกที่กว้างกว่าก็จะทำให้ด้านที่กว้างแคบลง ทำให้ หายใจไม่สะดวกมากขึ้น
หรือ เพดานอ่อน(บริเวณลิ้นไก่) อยู่ต่ำมาก ทำให้เมื่อเวลาเรานอนหงาย เพดานอ่อนลงมาปิดกั้นช่องหลอดลม ทำให้หายใจไม่สะดวกมากขึ้น
หรือ ลิ้นเรายาว ทำให้โคนลิ้นลงไปอยู่ต่ำ บริเวณเดียวกับที่เพดานอ่อนลงมากดทับ ทำให้เมื่อเวลาเรานอนหลาย ก็จะช่วยกันกับเพดานอ่อน ปิดกั้น ช่องหลอดลมให้แคบลง จนถึงขั้นปิดสนิท
หรือ โดยสรีระ ของเรา ช่องหลอดลม เราค่อนข้างจะแคบอยู่แล้ว ก้จะเป้นผลประกอบให้การปิดกั้นช่องหลอดลมทำได้สนิทมากขึ้น(ในกรณีของคนอ้วน ที่มีคออวบใหญ่ เมื่อเวลานอน จะยิ่งมีน้ำหนักกดทับจากเนื้อและไขมันบริเวณคอลงไปช่วยกระหน่ำซ้ำเติมด้วย)
ของตัวกระผมนั้น ดีหนึ่งประเภทหนึ่ง คือมีทุกสิ่งอย่างที่กล่าวมา (555)
ทีนี้ คุณหมอก็ วิสัชนา ให้เราฟังว่า อันว่าการนอนกรนนั้นสามารถแบ่งออกเพื่อ ให้ตรงกับ จุดประสงค์การมาหาหมอของคนไข้ แบ่งได้เป้น 2 ประเภท ก็คือ
แท๊แด่
การนอนกรนที่ไม่เกิดอันตรายต่อคนไข้ และ
การนอนกรนที่เป็นอันตรายต่อคนไข้
ผมจะพยายามอธิบายตามที่ผมเข้าใจละกันนะครับ(ไม่รับรองว่าถูกต้องตามหลักวิชาแพทย์หรือเปล่า)
กล่าวคือ เมื่อเกิดสภาวะการปิดกั้น ของช่องทางเดินหายใจ ถ้าร่างกายยังมี สมรรถภาพดี สามารถหายใจออก หรือหายใจเข้า ผ่านสภาวะปิดกั้น ได้ สภาวการณ์นี้ก็จะเป็นการกรนที่สร้างเพียงความรำคาญ เฉยๆ โดยไม่เกิด อันตรายแต่อย่างใด
แต่เมื่อใดก็ตาม ที่ร่างกายไม่สามารถ หายใจออก หรือหายใจเข้า ผ่านสภาวะการปิดกั้น ได้ ก็จะทำให้เกิด สภาวะการหยุดหายใจเกิดขึ้น ซึ่งการหยุดหายใจนี้ ก็จะทำให้ เลือดไม่ได้รับอ๊อกซิเจนเพิ่มขึ้นตามปกติที่ควรจะได้รับ แล้วก็จะทำให้ อ๊อกซิเจนที่ไปเลี้ยงสมอง น้อยลงเรื่อยๆ ถ้ากลไกอัตโนมัติของร่างกายสามารถ ผลักดันให้ร่างกาย หายใจผ่านอุปสรรคได้อีกครั้งหนึ่ง(อาจจะโดยการสำลัก ที่เราจะได้ยินจากผู้ที่นอนกรนเสียงดัง ทีเป็นเสียง กระชาก คร่อกๆๆ คร่อกๆๆ ในบางรายร่างกายจะมีอาการสะดุ้งด้วย)
ร่างกายก็จะกลับมารับอ๊อกซิเจนใส่เลือดได้อีกครั้งหนึ่ง แต่สภาวะการปิดกั้นก็จะกลับมาเกิดอีก เป้นวงจรอย่างนี้เรื่อยไปตลอดการนอนของเรา
เมื่อใดก็ตามที่ร่างกายเราอ่อนแอ จะด้วย ป่วย ไม่สบาย เมา หรือไม่ได้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ร่างกายก็จะมีโอกาสที่จะเกิดการหยุดหายใจเป็นเวลานานๆได้(อาจจะมากกว่า 2 นาที ต่อครั้ง) หรือแม้แต่ถ้าเราทำงานเหนื่อยมากๆ จนระบบอัตโนมัติ ไม่ สั่งการ ก็อาจถึงขั้น ไหลตายไปเลยก็เป็นได้(ไม่ได้ขู่ นะเนี่ย)
ดังนั้น คุณหมอคนเก่งของเราก็ สั่งการให้เรานั้น จงไปขอยืม cpap (เครื่องช่วยการหายใจอัตโนมัติ) มาทดลองใช้ดู โดยคุณหมอได้ให้นามบัตรของบริษัทที่ขายเครื่องดังกล่าวมา 2 บริษัท
เจ้าเครื่อง cpap ที่ว่านี้ มันจะทำการปั๊มลมเข้าไปเพื่อให้การหายใจของเรานั้นไม่ถูกปิดกั้น จะเซนเซอร์ด้วยวิธีใดก็เกินกว่าที่จะทราบได้ เราจะต้องทำการสวมเจ้า cpap ตัวนี้ปิดปาก ปิดจมูก ก่อนนอน ในระหว่างที่เครื่องทำงาน มันจะบันทึกค่าต่างๆที่ สามาถวิเคราะห์ได้ว่า เราเกิดสภาวะการหยุดหายใจ มากน้อย เร็วนาน อย่างไร การปิดกั้นต้องการความดันในการเปิดทะลุทะลวงเท่าใด หลังจากนั้นให้นำผลการใช้ cpap นี้มาให้คุณหมอ เพื่อวินิจฉัย
แต่
แต่คุณหมอได้ ให้ความคิดเห็นไว้ก่อนว่า การใช้ cpap เพื่อการวินิจฉัยนี้ ไม่ได้ผลที่แน่นอนในทางบวก แต่จะได้ผลที่แน่นอนในทางลบ กล่าวคือ ถ้าผลของการใช้ cpap ออกมาว่า อาการไม่น่าจะเป็นอันตราย ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าไม่เป็นอันตรายจริงๆ ในทางกลับกัน ถ้าผลการใช้ cpap ออกมางว่า อาการน่าจะป็นอันตราย สามารถสรุปได้ในระดับหนึ่งว่า อาการนอนกรนของเรานั้น อยุ่ในขั้นอันตราย
ถ้าเราต้องการความแน่นอนในการวินิจฉัย ต้องทำ Sleep Test ซึ่งทำโดยโรงพยาบาลจุฬา แล้วคุณหมอก็ให้เบอร์ติดต่อของ Sleep Lab มา
ด้วยความเป้นวิศวกร คิดไปคิดมาแล้ว เกิดความขี้เกียจเสียเวลา (เสียเงินไม่เป็นไร) ก็เลย ไม่ติดต่อขอยืม cpap มาใช้ แต่ติดต่อไปทำ Sleep Test เลย
เมื่อถึงนัดครั้งต่อไป ก็นำผล Sleep Test ไปให้คุณหมอดู
คุณหมอก็พิจารณา อยู่พักหนึ่ง แล้วก็ครุ่นคิดอีกพักหนึ่ง(คงจะคิดว่าจะพูดอย่างไร ไม่ให้ serious ดี) ท่านก็บอกกับผมว่า อันอาการของผมนี้ ไม่ค่อนดีนัก แต่ว่ายังไม่ถึงขั้นที่จะก่อให้เกิดอันตราย(ได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก)
แต่
แต่อย่าเพิ่งดีใจไป
ด้วยว่าสภาวะการเกิดอาการนอนกรนของผมนั้น มันเกิดจากกายภาคทางสรีระ ซึ่ง แม้ว่าจะไม่เกิดอันตรายในตอนนี้ แต่จะหวังให้มันหายไปนั้นเป็นไปไม่ได้ มันมีแต่ ทรง กับ ทรุด ลงไปเรื่อยๆ ตามสังขาร พูดง่ายๆก็คือ ถ้าทิ้งไว้โดยไม่แก้ไข ซักวันหนึ่งต้องเป็นอันตราย อย่างแน่นอน (จบกันละซิ)
อันว่าทางแก้ไขนั้น มันก็มีอยู่ 2 ทาง ที่เขาปฏิบัติกัน ก็คือ
ทางเลือกที่หนึ่ง ให้ ไปยืม cpap ทีกล่าวข้างต้น มาลองใช้ดู ผลการใช้จะสามารถนำมาวินิจฉัยร่าวมกับ ผล Sleep Test ได้ว่า ใช้แล้วอาการดีขึ้นหรือไม่ อย่างไร
ทางเลือกที่สอง ก็คือ จงไปขึ้นเขียงให้คุณหมอทำการผ่าตัด แก้ไขในจุดที่เป็นเหตุให้เกิดการอุดตัน
สระตะดูแล้ว จะไปรีบเจ็บตัวทำไม ก็เลยยอมเสียเวลาไปขอยืม cpap มาลองใช้อยู่ หนึ่ง อาทิตย์ แล้วเอาผลไปให้หมอดู
ผลการใช้ cpap ของผม ใช้ได้ดีมาก คือเมื่อใช้เครื่องแล้ว ไม่เกิดสภาวะการหยุดหายใจเลย และราคาเครื่องอยู่ที่ประมาณ 65000 บาท ค่าผ่าตัดอยู่ที่ประมาณ 5-7 หมื่นบาท
กลับมานอนคิดไปคิดมา ถึงแม้ว่า การใช้เครื่องจะไม่ต้องเจ็บตัว แต่มันก็จะเป็นอุปสรรคต่อกิจกรรมบนเตียง ต่างๆนาๆ และเป็นภาระที่จะต้อง หอบหิ้วเจ้าสิ่งนี้ไปไหนต่อไหน จนตลอดชีวิต
จนถึงวันหมอนัด จึงไปบอกหมอว่า ผมขอผ่าตัดครับ หมอก็ไม่ว่าอะไร ก็เปิดสมุดนัด แล้ว ทำการนัดวันผ่าตัดให้
เนื่องจากติดภารกิจ บางประการทำให้ไม่สามารถเขียนต่อให้จบได้ในครั้งนี้ ผมขออนุญาต เขียนเล่าประสพการณ์การผ่าตัดให้ฟังในคราวหน้านะครับ
(check rating ดูก่อนว่ามีคนสนใจเยอะรึเปล่า อิอิ)

mr_a

  • Guest
น้ำ งดอาหาร ตั้งแต่ 11โมง
ตอนเช้าวันผ่าผมกินโจ๊กไป 1 ชามใหญ่ พอ10:30 ผมก็กินข้าวต้มไปอีก 1 ชามใหญ่ เป็นอันเสร็จพิธีเตรียมตัว

หลังจากกินข้าว 10โมงครึ่งเสร็จก็ หอบหิ้ว ศรีภรรยา และ ลูกชาย ขึ้น แท็กซี่ ปุเลงๆๆ ไปที่ตึก นวมินทร์ (คนละที่กับที่ตรวจ ที่ตรวจอยู่ตึก ภปร.)

ไปถึงก็ไม่มีอะไร ยื่นใบนัดปุ๊บ เขาก็พาไปที่ห้อง บอกว่าพักผ่อนก่อน มีชุดคนไข้ ให้เปลี่ยน และก่อน ถึงเวลาผ่าตัด 1 ชั่วโมง ให้อาบน้ำ และ มีชุดผ่าตัดให้เปลี่ยน

ผมก็เปลี่ยนจากชุดที่ใส่มาเป็นชุดของคนไข้ แล้วก็ขึ้นไปนั่งดูโทรทัศน์ อยู่บนเตียง ถึงตอนนี้ เฉยๆนะ ไม่กลัว แต่ทำใจไว้แล้วว่าหลังผ่าคงต้องเจ็บมั่งแหละ นั่งยังไม่ทันอุ่นดีเลย คุณพยาบาลเข็นเสาน้ำเกลือเข้ามา (เอ๊ะ ยังไงกัน ยังไม่ทันทำอะไรเลย ให้น้ำเกลือกันซะแล้ว) ก็อึ้งอะซิ คุณพยาบาลคนสวย ก็เลย วิสัชนาว่า เนื่องจากเราต้องอดข้าว อดน้ำ ทำให้ร่างกาย จะไม่แข็งแรงได้ และ เข็มน้ำเกลือที่ คุณพยาบาลกำลังจะจิ้ม ผมนั้น ก็จะมีช่อง ไว้เสียบยาฉีดได้ด้วย เผื่อไว้ในกรณีที่ต้องให้ยาฉีดอะไร ก้จะสามารถให้ทางสายน้ำเกลือได้เลยโดยไม่ต้องโดนจิ้มบ่อยๆ

สัญชาติญานวิศวกร ทำงานทันที จิ้มครั้งเดียว เจ็บครั้งเดียว ไม่ต้องทนหิวด้วย ก็เลย ไม่ทำการคัดค้านแต่อย่างใด หลังจากหมดขวดแรก เขาก็ถามว่าเอาอีกซักขวดมั้ยด้วยความที่คิดวางแผนมาตั้งแต่บ้านแล้วว่ากินข้าวครั้งสุดท้ายตอน10โมงครึ่ง กว่าจะผ่าตัด 4โมงครึ่ง ผ่าตัดอีก1-2ชั่วโมง แถมผ่าแล้วยังไม่แน่ว่าจะกินอะไรได้หรือเปล่า ก็เลยบอกว่าเอาครับ เขาก็เลยเอาขวดใหม่มาเปลี่ยนให้อีก1ขวด แต่ขวดที่2นี้ ให้ได้ไม่ถึง ครึ่งขวดก็มีเหตุการณ์เกิดขึ้น ทำให้ไม่สามารถให้น้ำเกลือต่อได้ ก็คือ ผมเกิดปวดฉี่จะเข้าห้องน้ำ ทีนี้ ด้วยความอวดเก่ง ก็ไม่เรียกภรรยามาช่วยแต่อย่างใด ผมก็ลุกจากเตียงโดยเอามือข้างที่ให้น้ำเกลือ จูงเสาตามไปด้วย จนทำกิจกรรมเสร็จสรรพ เดินกลับมาขึ้นเตียงนอนเหมือนเดิม พ่อลูกชายก็ร้องบอกเสียงดังว่า ป๊า ทำไมมีเลือดในสายน้ำเกลือ ตอนต้นผมก็คิดว่าไม่เป็นไรหรอกน่ะ เดี๋ยวมันก็กลับเข้าไปกับน้ำเกลือ แต่ด้วยความรอบคอบ(ขี้ขลาด) ก็เลยบอกลูกชายว่าให้ไปเรียกคุณพี่พยาบาลคนสวยมาดูหน่อย ว่าเป็นอะไรรึเปล่า พอคุณพยาบาลเข้ามาเห็นก็ ปุชฉาทันทีเลยว่า ไปห้องน้ำมาใช่มั้ยคะ ผมก็บอกว่าใช่ แกก็พยายามจะรีดเลือด กลับเข้าไป แกบอกว่า ถ้าออกมาไม่เยอะไม่เป็นไร แต่ของผมออกมาเยอะ (จากเข็มประมาณ 1 เมตรได้) ถ้าไม่รีดกลับเข้าไปมันอาจจะ คล็อก ได้ ผมก็ทำหน้าเอ๋อๆหน่อย แกก็วิสัชนาให้ฟังว่า เนื่องจากผมเป็นคนตัวสูง(182 ซม.) เมื่อยกมือที่ให้น้ำเกลือ ไปจับเสาน้าเกลือ ในขณะยืน จะทำให้ความดันเลือดสูงมากพอที่จะดันเลือดย้อนออกจากเข็มเข้าไปในสายน้ำเกลือได้ ถ้าออกมาไม่มากซัก 2-3 ซม. เมื่อกลับไปนอน ความดันเลือดลดลง น้ำเกลือก็จะพาเลือดกลับเข้าไปในเข็มได้ หมด ก่อนที่เลือดจะแข็งตัว แต่ถ้า ออกมาเยอะๆ เลือดจับตัวเป้นลิ่มก็จะอุดตันช่องเข็มทำให้น้ำเกลือไม่สามารถไหลเข้าได้ ซึ่งได้แก่กรณีที่เกิดขึ้นกับผม ทำให้ต้องถอดน้ำเกลือที่เหลือนั้นทิ้งไป(จริงๆแล้วคุณพยาบาลแกจะเปลี่ยนสายน้ำเกลือให้ แต่ถ้าเปลี่ยนสายน้ำเกลือ ก็ต้องถอดเข็มเก่าออก แล้วจิ้มเข็มใหม่อีกที เรื่องอะไรจะยอมเจ็บตัวอีก) ตกลงก็เลยถอดเข็มออกโดยทิ้งน้ำเกลือขวดนั้นไป

นั่งๆนอนๆ จนถึง 3 โมงเย็น คุณพยาบาลก็เข้ามาบอกว่า คุณหมอเลื่อนเคสให้เร็วขึ้น ให้อาบน้ำแล้วเปลี่ยนเป็นชุดผ่าตัดเลย เดี๋นวจะเอาเตียงมารับ ผมก็ อาบน้ำ เปลี่ยนชุด เสร็จแล้วก็มานอนรอบนเตียง คุณพยาบาลแกก็เข้ามาบอกว่า ต้องขอโทษด้วย แกบอกผิดเคส ที่เลื่อนเร็วขึ้นนั้นเป็นอีกเคสหนึ่ง ไม่ใช่เคสผม ผมก็หัวเราะแล้วบอกว่าไม่เป็นไรครับ แหะๆ

นั่งได้อีกซักพักพยาบาลเข้ามาบอกว่า มีปัญหาบางประการทำให้เคสของผมซึ่งเดิม คิดว่าจะทำการผ่าตัดได้ประมาณ 16:30 ต้องเลื่อนออกไปเป็น ประมาณ 6 โมงเย็น ผมก็ว่า ไม่เป็นไรครับ(อีกและ)

พอซัก 17:45 พยาบาลก็เอารถเข็นมารับ ลูกชายเดินตามไปส่งถึงจุดห้ามเข้า พยาบาลก็เข็นรถผ่านเข้าไปแล้วก็เอาไปจอดไว้ก่อนถึงห้องผ่าตัดเพื่อรอเคส ก่อนผมให้เสร็จก่อน นอนได้ซักแปบก้มีคุณหมอผู้หญิง เข้ามาซักถาม ว่า รายละเอียดปลีกย่อยบางอย่าง เช่น แพ้ยาอะไร เคยผ่าตัดมาก่อนมั้ย ....
แล้วก็ปล่อยให้ผมนอนรอต่อ ปรากฎว่ามันเป็นช่วงที่สร้างความฟุ้งซ่านได้เป็นอย่างมาก เพราะต้องนอนนิ่งๆ บนเตียงแคบๆ ในห้องแอร์เย็นๆ อยู่นานร่วม 1 ชั่วโมง ลืมตาก็เห็นแต่เพดาน หลับตาก็ได้ยินเสียงพยาบาลกับคุณหมอคุยกัน อยู่บริเวณใกล้ๆ ขยับตัวมากก็ไม่ได้เพราะเตียงแคบ และ ผ้าห่มก็สั้นด้วย อึดอัดจัง

สัณนิษฐานว่า เหตุที่ต้องรอนานคงเป็นเพราะ ต้องรอให้คนไข้ที่ผ่าก่อนผมได้สติก่อนจึงจะนำออกจากห้องผ่าตัด เพราะว่า หลังจากมีเตียงคนไข้เข็นออกมา ได้แป๊บหนึ่ง เขาก็เข็นเตียงผมเข้าห้องผ่าตัดทันที เข้าไปถึงก็ต้องเปลี่ยนเตียง จากเตียงรถเข็นไปนอนบนเตียงผ่าตัด ซึ่งแคบลงไปอีก (คงต้องการให้รับส่งเครื่องมือ กันได้สะดวกมั้ง) เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีการห่อตัวผมด้วยพลาสติก และใช้ สก็อตเทปพันไว้เหมือนเป็นมัมมี่เลย หลังจากนั้น หมอดมยาก็จะเอาหน้ากาก มาครอบจมูกผม บอกว่าขอให้อ๊อกซิเจนหน่อยนะครับ ผมก็นึกว่าคงเป็นอ๊อกซิเจนจริงๆ ปรากฎว่า ที่เคยดูในหนังเวลาเขาวางยาสลบเขาจะให้ นับเลขถอยหลัง ไม่ได้ทำ

รู้สึกตัวอีกที เตียงมาถึงห้องพักแล้ว แรกๆไม่รู้สึกเจ็บเท่าไหร่นะ แต่ต่อมาเจ็บมากขึ้นเรื่อยๆ จน น้ำตาไหลเองอัตโนมัติ โดยไม่ต้องสอึกสะอื้นแต่อย่างใด ด้วยความที่เตรียมตัวมาอย่างดี ผมก็เลยให้ลูกชายหยิบสมุดฉีก กับปากกาที่เตรียมมา (เพราะรู้ว่าหลังผ่าตัดหมอห้ามใช้เสียง 1 อาทิตย์) เขียนบอกให้ถามพยาบาลว่ามียาแก้ปวดมั้ย พยาบาล(ตอนนี้ชักมองไม่ค่อยสวยซะแล้ว) ก็บอกว่ายาแก้ปวดและแก้อักเสบได้ให้แล้ว จะให้อีกทีได้ต้องอีกอย่างน้อย 4 ชั่วโมง

ก็เลยนอนหลับๆตื่นๆ จนกระทั่งเช้า ตอนเช้าลุกไปห้องน้ำ มองกระจก จมูกเหมือนหมูเลย หมอเขาจะเสียบท่อพลาสติกแข็งยาวประมาณ 7-8 ซม.เข้าไปในจมูกทั้งสองข้างและเย็บยึดไว้(เพื่อรักษารูปร่างจมูก)

พอ 9:45 หมอมาดู ก็บอกว่า โอเค เจ็บหน่อยนะ( โห หมอ ไม่หน่อยหรอก เจ็บมากเชียวแหละ) อาการโอเค ไม่มีไข้ ความดันปกติ ไม่มีร่องรอยการอักเสบ เดี๋ยวกลับบ้านได้ กลับไปให้กินอาหารอ่อนๆ จืดๆ เย็นๆ อมน้ำแข็งเล่นบ้างก็ได้ จะช่วยลดอาการบวมของแผล หมอให้น้ำเกลือไป เอาไว้กลั้วคอ หลังอาหาร ห้าม ซื้ดจมูก ห้ามขากเสมหะ ห้ามใช้อะไรแยงเข้าไปในรูของแท่งพลาสติกที่เสียบไว้ หมอนัด 1 อาทิตย์ มาหาหมอเพื่อตัดไหม

ทีนี้แหละอาทิตย์ของความทรมาณทีเดียวเชียวแหละ ก้เจ้าแท่งสองแท่งที่เสียบจมูกอยู่นั้น เนื่องจากหมอห้ามซื้ด ห้ามขาก ห้ามแยง ดังนั้น ในรูของแท่งจึงเต็มไปด้วยเสมหะ และ เลือด เต็มไปหมด ไม่สามารถหายใจทางจมูกได้ ต้องหายใจทางปาก อย่างเดียว ใครอยากรู้ว่าทรมาณขนาดไหนก้ลองหายใจทางปากอย่างเดียวดู (ทำได้ถึงชั่วโมงก็เก่งแล้ว)
ระหว่างนี้สิ่งที่กินได้ก็คือ โจ๊ก ข้าวต้ม แบรนด์ รังนก ไวตามิ้ลค์ ซึ่งต้องทั้งจืด ทั้ง เย็น

เคล็ดลับที่จะทำให้ความทรมาณน้อยลงก็คือ อย่าดูดีวีดี ดูโทรทัศน์ได้แต่อย่าดูหนังเป็นเรื่องๆ ถ้าคุณดูหนังเป็นเรื่องๆ ถึงจะทำให้คุณเพลิน และ ไม่ค่อยคิดถึงเรื่องเจ็บคอ แต่ ก็จะทำให้คุณได้นอนน้อยลง เคล็ดลับที่จะทำให้คุณฟื้นตัวเร็วที่สุด ก็คือ นอนให้มากที่สุดเท่าที่คุณจะหลับได้ โดยปกติยาแก้ปวด และยาแก้อักเสบ ที่หมอให้มา ก็จะมีฤทธิ์ทำให้คุณง่วงอยู่แล้ว ดังนั้น สำหรับตัวผมแล้ว ถ้ารู้สึกง่วง ล้มตัวลงนอนเมื่อไหร่ ก็จะหลับทุกครั้ง

ทุกครั้งที่คุณหลับเมื่อตื่นขึ้นมาความเจ็บในช่องคอคุณก็จะลงลงทุกครั้งครับ

อ้อเกือบลืม ถ้าคุณได้ใช้บริการเหมือนผม ผมแนะนำว่าอย่ารีบกลับบ้าน ขอหมอนอนต่อถ้ามีห้องว่างให้นอนได้นะครับ เนื่องจากว่าค่าห้องคุณเบิกได้บางส่วนอยู่แล้ว ที่ต้องเสียเพิ่ม น่าจะคุ้มค่าเงินเป็นอย่างมาก ดังนี้ครับ ถ้าคุณนอนโรงพยาบาล คุณจะไม่ทรมาณเรื่องจมูกตันครับ เพราะที่ห้องเขาจะมี Suction ไว้ดูดเสมหะ และ เลือด ในจมูกคุณออกได้ตลอดเวลา (24 ชั่วโมง) , นอนห้องแอร์สบาย มีคนวัดไข้วัดความดัน ตลอดเวลา, อาหารก็ไม่ต้องเดือดร้อน แม่บ้านทำ และเหมาะสมกับสภาวะของเราอยู่แล้ว ขอหมออยู่ไปเลย อาทิตย์หนึ่ง เชื่อเถอะว่าคุ้มสุดๆ มีพยาบาลสวยๆมาเช็ดตัวให้ด้วยนะ ซิบอกให้

หลังจากครบหนึ่งอาทิตย์ไปหาหมอ หมอก็จะตัดไหม และเอาแท่งพลาสติกออกให้ ตอนเอาออกก้อึกอักๆๆ เหมือนกันครับ แต่พอเอาออกแล้วเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ หมอดูอาการแล้วก็นัดอีก1อาทิตย์ไปดูแผลอีกที

ก็วันนี้แหละครับที่ผมต้องไปให้หมอดูแผล คิดว่าคงโอเค อาการตอนนี้ก็มีเวลากลืนน้ำลายแล้วจะเจ็บคออยู่บ้าง ซึ่งไม่มากมายอะไร

หวังว่าที่เล่ามาทั้งหมดนี้คงเป็นประโยชน์แก่ ท่านๆที่ได้เข้ามาอ่านบ้างไม่มากก็น้อย

เมื่อหายสนิทดีแล้ว จะเข้ามาอัพเดทใหม่อีกทีครับ

mr_a

  • Guest
ไปผ่าตัดแก้นอนกรนมา ภาค 3

มีคนสนใจเรื่องนี้ เยอะเหมือนกันครับ (ดูจากจำนวน pageview)

ผมต้องขอโทษด้วยที่ไม่ได้เข้ามาอัพเดท blog ตั้งนาน
ท้าวความกลับไป หลังผมผ่าตัดไป เมื่อ ตุลาคม ปีที่แล้ว (2551)
2 เดือนแรก หมอ ยังนัด เดือนละครั้ง
ยาที่ให้ก็ มี ยาแก้อักเสบ ยาแก้คัดจมูก ยาแก้กรดไหลย้อน น้ำเกลือล้างโพรงจมูก
เดือนที่ 2 ลดยาแก้อักเสบออกไป
ต่อมาก็เลื่อนเป็นทุกๆ 2 เดือน ลดยาแก้คัดจมูกออกไป
ครั้งหลังสุด งดยาแก้กรดไหลย้อน แต่เปลี่ยนเป็นยากันโรคกระเพาะมาให้แทน
ส่วนน้ำเกลือล้างโพรงจมูก มีสั่งให้ทุกครั้ง ครับ

สภาวการณ์ปัจจุบัน ผมยังนอนกรนเบาๆอยู่ครับ
แต่ไม่มีอาการ มึนศรีษะตอนตื่นนอน
และ ไม่มีอาการ ง่วงนอน ตอนทำงาน แล้วครับ
จมูกหายใจได้โล่งตลอด
แต่มีความรู้สึกเหมือนตึงๆที่โคนจมูกเวลาหายใจเข้าออก แรงๆ
หมอนัดครั้งหลังสุด 3 เดือน (สิงหาคม)

ความเห็นส่วนตัว ผมคิดว่า
ผมคงพ้น ภาวะวิกฤติ ไปแล้ว
แต่ จะให้อวัยวะทำงานดีเหมือนคนธรรมดาทั่วไป คงไม่ได้
เพราะ บางส่วน ถูกตัด ถูก แก้ไข
สภาวะในตอนนี้ก็คือ ปรับตัวให้ คุ้นเคยกับ อวัยวะ ที่แก้ไขมาให้ เคยชิน และ มีประสิทธิภาพมากที่สุด

เกือบลืม
ทุกครั้งที่ไปหาหมอ คุณหมอจะเน้นให้พยายามลดน้ำหนัก อย่างมาก
ผมสูง 182 ซม. น้ำหนัก 91 กก.
หมอให้ลด 18 กก.
ตอนนี้ก็เลยชวนลูกชายไปเข้า ฟิตเนส
พยายาม กำจัดส่วนเกิน
โดยหวังว่า ถึงไม่ลดลง ก็อย่าเพิ่ม ก็ยังดีครับ

ใครที่เขียน blog อยู่ และ กำลังไปหาหมอเกี่ยวกับเรื่องนี้
น่าจะเขียน ให้ข้อมูลในด้านอื่นๆบ้างครับ
เช่น การใช้ cpap, หรือมี การแพทย์ทางเลือกอื่นที่น่าสนใจ
หรือการออกกำลังกายลดน้ำหนัก แล้วอาการนอนกรนดีขึ้น
ก็ช่วยๆกันเขียนครับ
จะได้เป็นประโยชน์กับส่วนรวมต่อไป

ถ้ามีอะไรที่คิดว่าเป็นประโยชน์อีกเกี่ยวกับนอนกรน ผมจะเข้ามาอัพเดทให้อีกครับ