พระราชวังหลวงพระบาง (พิพิธภัณฑ์หลวงพระบาง)
ที่ตั้ง ถนนสักกะลิน ตรงข้ามทางขึ้นพระธาตุพูสี
เปิดให้เข้าชมทุกวันยกเว้นวันอังคาร
โดยแบ่งออกเป็น 2 ช่วงเวลาคือ
ตอนเช้า 8.00 น. - 11.30 น.
ปิดขายบัตรเข้าชมสำหรับภาคเช้าเวลา 11.00 น.
ตอนบ่าย 13.30 น. - 16.00 น.
ปิดขายบัตรเข้าชมสำหรับภาคบ่ายเวลา 15.30น.
ค่าธรรมเนียมการเข้าชม 30.000 กีบ
พระราชวังหลวงพระบางเป็นอาคารแบบฝรั่งแต่หลังคาเป็นแบบทรงลาว
ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง หันหน้าเข้าสู่พระธาตุพูสี ตัวพระราชวังเป็นหมู่อาคาร
เตี้ยๆชั้นเดียว ตั้งอยู่บนพื้นยกสูง มีความงดงามลงตัวของศิลปะยุคอาณานิคม
ผสมกับศิลปะแบบล้านช้าง สภาพโดยรอบมีความร่มรื่นด้วยต้นไม้ที่ไม่หนาจนเกินไป
การจะเข้าชมภายในตัวอาคารพระราชวังจะต้องนุ่งชุดสุภาพ
สำหรับสุภาพบุรุษห้ามนุ่งกางเกงขาสั้นหรือใส่เสื้อกล้าม
สุภาพสตรีห้ามนุ่งกางเกงขาสั้นหรือเสื้อแขนกุดในการเข้าชม
และห้ามถ่ายรูปภายในตัวอาคารพระราชวังโดยเด็ดขาด
ประวัติของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2447 สมัยเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์
สืบทอดต่อมาถึงสมัยเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวัฒนา พระมหากษัตริย์องค์สุดท้ายของลาว
ภายหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองหรือที่ชาวลาวเรียกว่า การปลดปล่อย
รัฐบาลลาวได้เปลี่ยนพระราชวังหลวงมาเป็น หอพิพิธภัณฑ์
ในปี พ.ศ. 2519 หลังจากที่ไม่มีพระมหากษัตริย์ประทับอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว
ลักษณะแผนผังของตัวพระราชวังประกอบด้วยอาคารขวางด้านหน้า หลังคามุงกระเบื้อง
ตรงกลางมีมุขยื่นออกมา มีหน้าบันเป็นรูปช้าง 3 เศียร มีฉัตรกางอยู่ตรงกลางข้างบน
อันเป็นสัญลักษณ์ของราชอาณาจักรลาวล้านช้างในระบอบเดิมตรงเข้าไปเป็น
ห้องฟังธรรมของเจ้ามหาชีวิตและท้องพระโรง เบื้องหลังท้องพระโรงเป็นอาคารที่มี
หลังคาเป็นยอดปราสาทหลังเดียวมองเห็นเป็นสง่าเด่นชัดจากภายนอกตัวอาคาร
แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ปีกทางด้านซ้ายมือเป็นห้องรับแขกของพระมเหสี
ปัจจุบันมีของขวัญจากประเทศต่างๆจัดแสดงให้ชมอยู่ ทั้งจากประเทศ
สังคมนิยมคอมมิวนิสต์, ประเทศทางตะวันตก, เอเชีย รวมทั้งของประเทศไทย
ส่วนปีกทางด้านขวามือเป็นห้องรับแขกของเจ้ามหาชีวิต
มีความสวยงามบรรยากาศเป็นแบบฝรั่งเศสปนลาว
มีภาพเขียนบนผ้าใบผืนใหญ่กรุเต็มผนังขึ้นไปจรดเพดาน เขียนขึ้นในปีพ.ศ. 2473
แสดงถึง ฮีตครอง(จารีตประเพณี) ของคนลาว ในช่วงเวลาต่างๆของแต่ละวัน
รูปขบวนเจ้ามหาชีวิตเสด็จไปสรงน้ำพระที่วัดเชียงทองและวัดใหม่
รูปประเพณีบุญปีใหม่ลาว รูปตลาดตอนแลง (ตลาดเย็น)
ซึ่งภาพเหล่านี้ถ่ายด้วยด้วยเทคนิคแบบ Impressionism
ทั้งยังมีรูปหล่อครึ่งตัวอีก 4 องค์คือ เจ้ามหาชีวิตอุ่นคำ
เจ้ามหาชีวิตสักรินทร์ เจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์
และเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวัฒนา ซึ่งหล่อมาจากประเทศฝรั่งเศสทั้งสิ้น
ส่วนของห้องสุดท้ายของปีกด้านนี้ได้ถูกจัดให้เป็นห้องพระโดยเฉพาะ
ภายในเป็นที่ประดิษฐานของ พระบาง พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองหลวงพระบาง
อันศักดิ์สิทธิ์ มีลักษณะประทับยืน ยกพระหัตถ์ทั้งสองข้างขึ้น
หันฝ่าพระหัตถ์ออกทั้งสองข้าง ซึ่งชาวลาวเรียกกันว่า ปางประทานอภัย
หรือที่คนไทยเรียกว่า ปางห้ามสมุทร เป็นศิลปะเขมรสมัยหลังบายน
อายุราว 300 ปี มาแล้ว หล่อด้วยทองคำบริสุทธิ์ 90%
หนัก 54 กิโลกรัม สูงราว 40 50 ซม. ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ เมืองหลวงพระบาง
อันหมายถึงเมืองที่มี พระบาง ประดิษฐานอยู่นั่นเอง
ทุกวันขึ้นปีใหม่ลาว (ราวเดือนเมษายน) จะมีการอัญเชิญ พระบาง
ลงมาประดิษฐานที่ วัดใหม่ เพื่อให้ประชาชนสรงน้ำสักการบูชา
เพื่อความเป็นสิริมงคลของชาวหลวงพระบางและชาวลาวทั้งประเทศ
ภายในห้องพระนี้ยังเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปนาคปรก สลักด้วยหิน
ในรูปแบบศิลปะเขมรอีก 4 องค์ และมีกลองมโหระทึกอีกหลายใบ
ซึ่งไม่ทราบแน่ชัดว่ามาจากที่ใดนอกจากนั้นยังมีพวงมาลา
ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ซึ่งถวายเป็นพุทธบูชาไว้เมื่อครั้งเสด็จ
มายังประเทศลาวและเมืองหลวงพระบาง เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2533