Author Topic: มรดกโลกในญี่ปุ่น  (Read 16901 times)

ontcftqvx

  • สมาชิกใหม่
  • *
  • Posts: 0
    • View Profile
มรดกโลกในญี่ปุ่น
« on: April 11, 2011, 08:13:43 AM »
http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=happytobeme&date=15-01-2010&group=6&gblog=6

มาถึง 5 แห่งสุดท้าย จะได้ไปเริ่มเรื่องใหม่ซักที ^ ^

มรดกโลกแห่งที่สิบ “เหมืองเงินอิวามิและภูมิทัศน์ทางวัฒนธรรม (石見銀山遺跡とその文化的景観)” ได้รับการบันทึกเป็นมรดกโลกในปี 2007 ซึ่งถือเป็นมรดกโลกน้องใหม่ล่าสุดของญี่ปุ่น


เหมืองเงินอิวามิตั้งอยู่ในจังหวัดชิมาเนะ เป็นเหมืองเงินที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น รุ่งเรืองมากตั้งแต่ช่วงปลายสงครามกลางเมืองจนถึงต้นสมัยเอโดะ แต่ปัจจุบันได้ปิดเหมืองไปแล้ว

เหมืองเงินแห่งนี้เกิดขึ้นพร้อมกับความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่น ในสมัยนั้นญี่ปุ่นสามารถถลุงแร่ได้ 200 ตันต่อปี (มาจากเหมืองอิวามิ 38 ตัน) ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนที่ 1 ใน 3 ของปริมาณทั้งหมดทั่วโลก

โดยทั่วไปแล้ว เพื่อความบริสุทธิ์ของเงินจำเป็นจะต้องใช้ถ่านไม้เป็นจำนวนมาก แต่สำหรับเหมืองเงินอิวามินี้ ได้มีการควมคุมและพัฒนาการทำเหมืองให้กระทบกับสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด ส่งผลให้แม้ในปัจจุบันพื้นที่ในแถบเหมืองก็ยังคงมีป่าไม้หลงเหลืออยู่

แห่งที่สิบเอ็ด “อนุสรณ์สันติภาพฮิโรชิมา หรือที่รู้จักกันในนาม โดมปรมาณู (広島平和記念碑)” ได้รับการบันทึกเป็นมรดกโลกในปี 1996


จากชื่อก็แน่นอนว่า อนุสรณ์สถานแห่งนี้ตั้งอยู่ในจังหวัดฮิโรชิมา เป็นอนุสรณ์เพื่อรำลึกถึงผู้เคราะห์ร้ายที่เสียชีวิตลงจากน้ำมือของระเบิดปรมาณู Little Boy ในสงครามโลกครั้งที่สอง

อาคารแห่งนี้เดิมสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นหอแสดงสินค้าของฮิโรชิมา หลังจากนั้นก็เปลี่ยนมาเป็นหอส่งเสริมอุตสาหกรรมฮิโรชิมาก่อนที่จะถูกทำลายลง

8 โมง 15 นาที ของวันที่ 6 ส.ค. 1945 เครื่องบิน B-29 ชื่อ Enola Gay ได้ทิ้งระเบิดปรมาณูลงในฮิโรชิมา โดยมีเป้าหมายอยู่ที่สะพาน Aioi-bashi (相生橋) ทางตะวันตกของ “หอส่งเสริมอุตสาหกรรมฮิโรชิมา”

หลังจากที่ระเบิดถูกปล่อยลงมาเพียง 0.2 วินาที รังสีความร้อนที่มีพลังงานมากกว่าแสงอาทิตย์ถึงหลายพันเท่าก็แผ่กระจายออกไป อุณหภูมิพื้นผิวสูงถึง 3,000 องศาเซลเซียส หลังจากนั้นเพียง 0.8 วินาทีก็เกิดแรงลมความเร็วมากกว่า 440 เมตรต่อวินาที ทำให้อาคาร “หอส่งเสริมอุตสาหกรรมฮิโรชิมา” ถูกเผาทำลายลงในเวลาเพียง 1 วินาทีเท่านั้น เหลือเพียงซากโดมตรงกลางเอาไว้

แล้วทำไมโดมถึงไม่ถูกทำลาย (?) คาดกันว่าน่าจะเนื่องมาจาก...
ตัวโดมได้รับรังสี Shock Wave จากด้านบนโดยตรง
ตัวโดมมีกระจกเป็นจำนวนมาก ทำให้แรงลมที่มาปะทะทะลุผ่านกระจกออกไป ความดันอากาศภายในตัวโดมจึงไม่สูงกว่าอากาศภายนอก
อีกทั้งหลังคาของตัวโดมทำด้วยแผ่นทองแดง ซึ่งมีจุดหลอมเหลวต่ำกว่าโครงเหล็กของตัวอาคารที่ถูกทำลายลง เมื่อโดนรังสีความร้อนไปในช่วง 0.2 วินาทีแรก แผ่นทองแดงก็ละลายไปหมด เมื่อมีแรงลมปะทะตามมาลมก็ผ่านโดมไปได้ง่ายมากขึ้น

โดยปกติแล้ว ญี่ปุ่นจะขอเสนอชื่อสถานที่ใดๆขึ้นเป็นมรดกโลกนั้น ก็ต้องเข้าเงื่อนไขที่ว่า สถานที่นั้นๆต้องได้รับการคุ้มครองตามกฏหมายญี่ปุ่นด้วย เช่น ถ้าเป็นมรดกทางวัฒนธรรมก็ต้องอยู่ภายใต้การดูแลตามกฏหมายคุ้มครองมรดกทางวัฒนธรรมของญี่ปุ่นเสียก่อน แต่เนื่องจากอาคาร “โดมปรมาณู” นี้มีอายุการใช้งานเพียงไม่กี่ปี จึงไม่ถือเป็นมรดกทางวัฒนธรรม ไม่สามารถยื่นขอขึ้นเป็นมรดกโลกได้ (จริงๆจะยื่นก็ได้ เพราะ UN ไม่มีเงื่อนไขเหล่านี้ ญี่ปุ่นสร้างเงื่อนไขของเค้าขึ้นมาเอง)

แต่เนื่องจากมีการล่ารายชื่อขอเสียงสนับสนุนการยื่นขอ “โดมปรมาณู” ให้ขึ้นเป็นมรดกโลกไปทั่วประเทศญี่ปุ่น โดยมีผู้ลงนามมากกว่า 1.65 ล้านคน รัฐบาลญี่ปุ่นจึงได้นำไปพิจารณาเป็นกรณีพิเศษ

มาถึงแห่งที่สิบสองค่ะ ยังอยู่กันที่ฮิโรชิมา “ศาลเจ้า Itsukushima Shrine (厳島神社)” ขึ้นเป็นมรดกโลกในปี 1996


ศาลเจ้า Itsukushima ตั้งอยู่บนเกาะ Miyajima (宮島) เป็นศาลเจ้าหลักของ Itsukushima Shrine ที่มีอยู่ประมาณ 500 แห่งทั่วญี่ปุ่น

ชาวญี่ปุ่นในสมัยนั้นเชื่อว่า เกาะ Miyajima เป็นเกาะศักดิ์สิทธิ์ จึงได้มีการสร้างศาลเจ้าขึ้นที่นี่เพื่อใช้เป็นที่สักการะเทพเจ้า

สัญลักษณ์ของที่นี่คือ ประตู Torii ที่ตั้งอยู่ในทะเลบริเวณช่องแคบ Oono-seto (大野瀬戸) มีความสูง 16 เมตร ซึ่งสูงพอๆกับพระพุทธรูป Daibutsu ในนารา หนักประมาณ 60 ตัน เสาหลักทำมาจากไม้การบูรอายุ 500 – 600 ปี ที่เห็นนี่เป็นเสารุ่นที่ 8 แล้ว

ศาลเจ้าแห่งนี้ได้รับการจัดอันดับให้เป็น “หนึ่งในสามทิวทัศน์ที่งดงามที่สุดในญี่ปุ่น” อีก 2 แห่งก็คือ
หมู่เกาะ Matsushima (松島) ในจังหวัดมิยางิ มีเกาะน้อยใหญ่มากกว่า 260 เกาะ
และสันดอนทราย Amanohashidake (天橋立) ในเกียวโต ซึ่งมีความยาวถึง 3.6 ก.ม.

แห่งที่สิบสาม “เกาะ Yaku-shima (屋久島)” ในจังหวัดคาโงชิมะ ขึ้นเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติในปี 1993

เกาะ Yaku-shima เป็นเกาะที่ใหญ่เป็นอันดับสองในจังหวัดคาโงชิมะ รองจากเกาะ Amami Ooshima (奄美大島) ส่วนพื้นที่ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกคิดเป็น 21 % ของพื้นที่เกาะ


เกาะนี้มีธรรมชาติที่หลากหลาย ตรงกลางเกาะมียอดเขา Miyanoura-dake (宮之浦岳) สูง 1,936 เมตร ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในภูมิภาคคิวชู นอกนั้นยังมีภูเขาสูงในระดับ 1,000 เมตรขึ้นไปอีกหลายลูก จึงได้ชื่อว่าเป็น “แอลป์แห่งท้องทะเล”
เป็นพื้นที่ใต้สุดของญี่ปุ่นที่มีพื้นที่ชุ่มน้ำในระดับสูง มีฝนตก 35 วันต่อเดือน มีพืชพันธุ์ตั้งแต่พืชเขตอบอุ่นไปจนถึงพืชเขตหนาว
เป็นพื้นที่ใต้สุดของญี่ปุ่นที่มีหิมะตก โดยจะตกบนยอดเขาที่มีอุณหภูมิโดยเฉลี่ยตลอดปีอยู่ที่ 5 องศา (ซึ่งต่ำกว่าอุณหภูมิในซัปโปโรซะอีก)

มีต้นโจมงซีดาร์ ซึ่งเป็นสนซีดาร์พันธุ์ที่หาได้ในเกาะ Yaku-shima เท่านั้น ที่ได้ชื่อว่า “โจมงซีดาร์” ก็เนื่องมาจาก สันนิษฐานกันว่าต้นสนนี้มีมาตั้งแต่สมัยโจมงของญี่ปุ่น ปัจจุบันมีอายุมากกว่า 4,000 ปี และตอสนที่พบเห็นบนเกาะก็ว่ากันว่าเป็นตอสนที่เหลือจากการตัดไปสร้างปราสาทโอซากา


ทางตอนเหนือของเกาะ เป็นที่วางไข่ที่มีชื่อเสียงของเต่าหัวค้อน (Loggerhead turtle)


มีน้ำตกที่มีชื่อเสียงหลายแห่ง เช่น
Toroki no Taki (トローキの滝) มีความสูง 6 เมตร เป็นหนึ่งในสองแห่งของน้ำตกในญี่ปุ่นที่ไหลลงสู่ทะเลโดยตรง (อีกแห่งคือน้ำตก Oshin-koshin no Taki ในฮอกไกโด)
Ooko no Taki (大川の滝) สูง 88 เมตร เป็นน้ำตกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดใน Yaku-shima
Sempiro no Taki (千尋の滝) สูง 60 เมตร ตกจากผาหินแกรนิตขนาดใหญ่


ที่นี่ยังมีชื่อเสียงเรื่อง Onsen อีกด้วย อาบน้ำไป ชมทะเลไป ถ้าใครกล้าเปลือยก็เอาเลยค่ะ เต็มที่ !

มาถึงแห่งสุดท้ายแล้วค่ะ แห่งที่สิบสี่ “ปราสาทและสิ่งก่อสร้างอันเกี่ยวข้องกับอาณาจักรริวกิว (琉球王国のグスク及び関連遺跡群)” ได้รับการบันทึกเป็นมรดกโลกในปี 2000 แสดงถึงวัฒนธรรมริวกิวซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากทั้งจีนและญี่ปุ่น ประกอบไปด้วยสถานที่ 9 แห่งซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเกาะโอกินาวา


ส่วนที่เป็นปราสาทมีทั้งสิ้น 5 แห่งด้วยกัน
ร่องรอยปราสาท Shuri (首里城跡) ปราสาทที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในราชวงศ์ริวกิวที่อยู่ในโอกินาวา
ร่องรอยปราสาท Nakijin (今帰仁城跡) ขุดพบเครื่องเคลือบดินเผาจากจีนและเอเซียตะวันออกเฉียงใต้เป็นจำนวนมาก
ร่องรอยปราสาท Naka-gusuku (中城城跡) ตั้งอยู่บนเนินสูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 160 เมตร เป็นปราสาทที่เหลือร่องรอยไว้มากที่สุด จากกำแพงหินเราสามารถมองเห็นทะเลจีนตะวันออก (East China Sea) และอ่าว Naka-gusuku ฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิคได้
ร่องรอยปราสาท Zakimi (座喜味城跡) มีการปรับปรุงซ่อมแซมขึ้นมาใหม่ และซุ้มประตูหินก็ยังคงลักษณะเดิมเอาไว้
ร่องรอยปราสาท Katsuren (勝連城跡) ตั้งอยู่บนเนินเขาขนาบด้วยมหาสมุทรแปซิฟิค


ส่วนอื่นๆที่ไม่ใช่ปราสาท ได้แก่
สวน Shikina-en (識名園) อยู่ทางใต้ของปราสาท Shuri ศิลปะผสมระหว่างศิลปะจีนกับศิลปะโอกินาวา
สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ Seifa-utaki (斎場御嶽) ศาลเจ้าชินโตของชาวริวกิว
ประตูหิน Sonohyan-utaki (園屋武御嶽) สถานที่ศักดิ์สิทธิ์นี้คือป่าหลังประตูหิน เป็นสถานที่ที่กษัตริย์จะต้องมากราบไหว้ก่อนออกเดินเรือเสมอ
และที่สุดท้าย สุสาน Tamaudun (玉陸) ใช้เป็นสุสานฝังพระศพของกษัตริย์ริวกิว

จบแล้ว เย้ๆๆๆๆๆๆ เหนื่อยมาก จะมีใครเข้ามาอ่านบ้างมั๊ยน้า...

ontcftqvx

  • สมาชิกใหม่
  • *
  • Posts: 0
    • View Profile
Re: มรดกโลกในญี่ปุ่น
« Reply #1 on: April 11, 2011, 08:14:11 AM »
กลับมาแล้วค่ะ แอบแว่บไปเขียนบล็อคอื่นอยู่ตั้งนาน ^ ^

กลับมาที่มรดกโลกในญี่ปุ่นของเราต่อดีกว่า คราวที่แล้วลงมาถึงเกียวโตกันแล้ว ไปต่อกันด้วย...

มรดกโลกแห่งที่หก “มรดกทางวัฒนธรรมเมืองหลวงเก่านารา (古都奈良の文化財)” ได้รับการบันทึกเป็นมรดกโลกในปี 1998 มีทั้งสิ้น 8 แห่งด้วยกัน


ใครมานาราก็ต้องแวะมาที่นี่ค่ะ วัด Todai-ji (東大寺)

อาคารหลักของวัดเป็นอาคารไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่คนญี่ปุ่นเรียกกันว่า Daibutsu (大仏)

Todai-ji ผ่านการซ่อมแซมหลายครั้งหลายครา ทั้งจากน้ำมือของแผ่นดินไหวและเหตุการณ์ไฟไหม้ อาคารหลักที่เราเห็นในปัจจุบันก็มีขนาดเพียง 2 ใน 3 ของอาคารเดิม ส่วนตัวองค์พระพุทธรูปเองก็เหลือส่วนดั้งเดิมแค่เพียงบางส่วนเท่านั้น


วัด Kofuku-ji (興福寺) เป็นวัดซึ่งมีอิทธิพลมากในสมัยนั้น ที่รัฐบาลทหาร (โชกุน) ทั้งในสมัยคามาคุระและสมัยมุโรมาจิไม่สามารถเข้ามาควบคุมได้

เจดีย์ 5 ชั้นของที่นี่สูง 50.8 เมตร เป็นเจดีย์ไม้ที่สูงเป็นอันดับ 2 ในญี่ปุ่นรองจากเจดีย์ของวัด To-ji (東寺) ในเกียวโต


Kasuga-taisha Shrine (春日大社) ตั้งอยู่ในสวนสาธารณะนารา เป็นศาลเจ้าหลักของศาลเจ้า Kasuga อื่นๆในญี่ปุ่น


วัด Gango-ji (元興寺) แตกมาจากวัด Hoko-ji (法興寺) หรือเรียกอีกชื่อว่าวัด Asuka-dera (飛鳥寺) วัดทางพระพุทธศาสนาอย่างเต็มรูปแบบแห่งแรกของญี่ปุ่น


วัด Yakushi-ji (薬師寺) เจดีย์ที่นี่สูงเพียง 3 ชั้นเท่านั้น แต่มีปีกหลังคายื่นออกมาถึง 6 ชั้น ปีกหลังคาที่สร้างเพิ่มขึ้นมาระหว่างชั้นนี่ก็เพื่อป้องกันลมฝน และหิมะ แต่อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ สร้างขึ้นเพื่อความสวยงามนั่นเอง


วัด Toshodai-ji (唐招提寺) สร้างขึ้นโดยพระจีนนามว่า Jian Zhen อุโบสถหลังนี้เป็นอุโบสถเพียงแห่งเดียวที่สร้างขึ้นในสมัยนาราที่ยังคงเหลือมาจนถึงปัจจุบัน (ส่วนอุโบสถของวัดอื่นๆไม่ได้ทำหน้าที่เป็นอุโบสถมาตั้งแต่เริ่มแรก)


ร่องรอยพระราชวัง Heijo-kyu (平城宮) พระราชวังในเมือง Heijo-kyo (平城京) เมืองหลวงเก่าของญี่ปุ่นในยุคนารา สร้างขึ้นเลียนแบบซีอาน เมืองหลวงแห่งราชวังถังของจีน เป็นร่องรอยทางโบราณคดีแห่งแรกของญี่ปุ่นที่ได้รับการบันทึกเป็นมรดกโลก


ป่าธรรมชาติ Kasugayama (春日山原始林) ป่าศักดิ์สิทธิ์แห่ง Kasuga-taisha Shrine เป็นป่าที่ห้ามตัดทำลายมานานกว่าพันปี จึงทำให้ป่าธรรมชาติแห่งนี้แผ่ขยายถึงขีดสุด

แห่งที่เจ็ด “สิ่งก่อสร้างทางพุทธศาสนาแห่งวัด Horyu-ji (法隆寺地域の仏教建造物)” ขึ้นเป็นมรดกโลกในปี 1993


สิ่งก่อสร้างทางพุทธศาสนาในบริเวณนี้มีทั้งสิ้นประมาณ 48 แห่ง สร้างขึ้นระหว่างปลายศตวรรษที่ 7 ถึงต้นศตวรรษที่ 8 บางแห่งถือเป็นอาคารไม้ที่เก่าแก่ที่สุดที่ยังคงหลงเหลือมาจนถึงปัจจุบัน

สิ่งก่อสร้างในบริเวณนี้นอกจากจะมีค่าทางด้านประวัติศาสตร์ศิลป์แล้ว ยังเป็นตัวแสดงถึงประวัติของศาสนาพุทธในญี่ปุ่นที่ได้รับอิทธิพลมาจากประเทศจีนอีกด้วย

แห่งที่แปดค่ะ “สถานที่ศักดิ์สิทธิ์และเส้นทางแสวงบุญบนเทือกเขาคิอิ (紀伊山地の霊場と参詣道)” ได้รับการบันทึกเป็นมรดกโลกในปี 2004

มรดกโลกชิ้นนี้กินพื้นที่ 3 จังหวัดด้วยกัน คือ นารา, วาคายามะ และมิเอะ

มรดกโลกส่วนที่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แบ่งออกเป็น 3 แห่ง

- แห่งแรก แถบ Yoshino-Oomine (吉野・大峯) ในจังหวัดนารา สถานที่ที่ขึ้นเป็นมรดกโลกในแถบนี้ คือ


ภูเขา Yoshino-yama (吉野山) สถานที่ชมซากุระที่มีชื่อเสียงมากมาตั้งแต่ยุคโบราณ
Yoshino Mikumari Shrine (吉野水分神社) ตั้งอยู่บนยอดเขา Aonega-mine (青根ヶ峰) ยอดเขาที่สูงที่สุดบนภูเขา Yoshino-yama ซึ่งยอดเขาแห่งนี้เป็นต้นน้ำของแม่น้ำ Yoshino-gawa (吉野川) ในจังหวัดนาราและวาคายามา
Kimpu Shrine (金峯神社) ศาลเจ้าเก่าตั้งอยู่ในส่วนลึกสุดของ Yoshino
วัด Kimpusen-ji (金峯山寺) เริ่มเป็นสถานที่จาริกแสวงบุญในสมัยเฮอัน อาคารหลักของวัดนี้ถือเป็นอาคารไม้ที่ใหญ่เป็นอันดับสองในญี่ปุ่น รองจากอาคารไม้ของวัด Todai-ji ในนารา
Yoshimizu Shrine (吉水神社) เป็นศาลเจ้าประจำหมู่บ้านในสมัยนั้น
วัด Oominesan-ji (大峯山寺) บนยอดเขา Oomine ก่อตั้งโดย En no Ozunu (役小角) ผู้ก่อตั้งพุทธศาสนานิกาย Shugendo (修験道) และที่นี่สตรีไม่มีสิทธิ์ผ่านประตูเข้าไปค่ะ

- แห่งที่สอง ศาลเจ้าใหญ่ 3 แห่งใน Kumano หรือที่เรียกรวมว่า Kumanosan-zan (熊野三山) ในจังหวัดวาคายามา มีสถานที่ที่ขึ้นเป็นมรดกโลก คือ


Kumano Hongu Taisha Shrine (熊野本宮大社) ไม่ทราบปีที่ก่อสร้างอย่างแน่ชัด แต่ว่าสร้างขึ้นก่อนคริสตกาล เดิมศาลเจ้านี้ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ Kumano-gawa แต่หลังจากน้ำท่วมใหญ่ในปี 1889 ศาลเจ้านี้ก็ย้ายขึ้นมาอยู่บนเขาแทน และได้สร้างประตู Torii (鳥居) สูง 33.9 เมตร ไว้ ณ บริเวณศาลเจ้าเดิม ซึ่งเป็น Torii ที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น
Kumano Hayatama Taisha Shrine (熊野速玉大社) หรือเรียกอีกชื่อว่า Shingu (新宮)
และ Kumano Nachi Taisha Shrine (熊野那智大社) ตั้งอยู่บนเขา Nachi-san (那智山)

ศาลเจ้า Kumano Shrine (熊野神社) ทั้ง 3 แห่งนี้ เป็นแหล่งกำเนิดชินโตสาย Kumano ซึ่งปัจจุบันมีศาลเจ้าสายนี้อยู่ทั้งสิ้นมากกว่า 3,000 แห่งทั่วญี่ปุ่น


วัด Seiganto-ji (青岸渡寺) วัดในพุทธศาสนานิกาย Tendai (天台) บนเขา Nachi-san ในบริเวณเดียวกับ Kumano Nachi Taisha Shrine
น้ำตก Nachi no Taki (那智の滝) บนเขา Nachi-san หนึ่งในน้ำตกที่มีชื่อเสียง 3 แห่งในญี่ปุ่น (อีก 2 แห่งคือ น้ำตก Kegon no Taki ในจ.โทจิงิ และน้ำตก Fukuroda no Taki ในจ.อิบารากิ)
วัด Fudarakusan-ji (補陀洛山寺) วัดในพุทธศาสนานิกาย Tendai ชื่อวัดนี้ตรงกับภาษาสันสกฤตที่ว่า “โปตาลกะบรรพต” เขาแห่งพระอวโลกิเตศวร
ป่าธรรมชาติ Nachi (那智原始林) ป่าของศาลเจ้า Kumano Nachi Taisha Shrine มีพันธุ์พืชแปลกๆหายากอยู่มากมาย

- แห่งที่สาม เขา Koya-san (高野山) ในจังหวัดวาคายามา มีสถานที่ที่ขึ้นเป็นมรดกโลก คือ


Niukanshobu Shrine (丹生官省符神社) สร้างขึ้นโดยพระ Kukai (空海) หรือ Kobodaishi (弘法大師) ผู้ก่อตั้งนิกายชินงอน (真言宗)
วัด Kongobu-ji (金剛峯寺) วัดหลักของนิกายชินงอน ในเขา Koya-san ดูแลวัดลูกอื่นๆราว 100 วัดในบริเวณเดียวกัน ซึ่งถือเป็น “เมืองวัด” ที่หาดูที่ไหนไม่ได้ในญี่ปุ่น
วัด Jison-in (慈尊院) วัดในนิกายชินงอน เป็นประตูเข้าสู่เขา Koya-san
Niutsuhime Shrine (丹生都比売神社) ศาลเจ้าหลักของ Niutsuhime Shrine อื่นๆในญี่ปุ่น

มาต่อกันที่มรดกโลกส่วนที่เป็นเส้นทางแสวงบุญ


เส้นทาง Omine Okugake Route (大峯奥駈道) ระหว่างนาราและวาคายามา
เส้นทาง Kumano Sankei Route (熊野参詣道) แยกย่อยเป็นเส้น Iseji (伊勢路) จากศาลเจ้า Ise Jingu Shrine (伊勢神宮) ในจังหวัดมิเอะ, เส้น Nakahechi (中辺路) และ Oohechi (大辺路) ในจังหวัดวาคายามา, เส้น Kohechi (小辺路) ระหว่างจังหวัดนาราและวาคายามา และเส้น Kiiji (紀伊路) ระหว่างจังหวัดวาคายามาและโอซากา
เส้นทางสุดท้าย เส้นทาง Koyasancho-Ishi Route (高野山町石道) ในจังหวัดวาคายามา เชื่อมระหว่างวัด Jison-in กับเขา Koya-san

ใครศรัทธาแรงกล้า อยากจะเดินจาริกแสวงบุญตามเส้นทางเหล่านี้บ้างก็ได้นะคะ เพียงแต่ต้องข้ามเขาหลายลูกหน่อย ^ ^

มาถึงมรดกโลกในญี่ปุ่นแห่งที่เก้า “ปราสาท Himeji (姫路城)” ในจังหวัดเฮียวโกะ ที่นี่ได้รับการบันทึกเป็นมรดกโลกในปี 1993


ปราสาท Himeji ได้รับการขนานนามว่า “ปราสาทนกกระสาขาว (Hakuro-jo: 鷺城)” ซึ่งก็มีที่มาจากการที่ว่า ปราสาทแห่งนี้ตั้งอยู่บน “เขานกกระสา (Sagi-yama: 鷺山)” อีกทั้งผนังของปราสาทก็เป็นสีขาวสว่างตา ในบริเวณนี้ยังมีนกกระสาขาวอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก และท้ายสุด ..เพื่อเป็นการเปรียบเทียบกับปราสาท Okayama ที่มีผนังปราสาทเป็นสีดำ ซึ่งได้รับการขนานนามว่า “ปราสาทนกกา (U-jo: 烏城)”

ปราสาท Himeji เป็นตัวอย่างแม่แบบของปราสาทญี่ปุ่นที่สมบูรณ์ เริ่มสร้างในปี 1346 แต่ก็มีการโอนย้ายเปลี่ยนมือ ต่อเติม เสริมแต่ง ซ่อมแซมกันมาเรื่อย จนมาเสร็จสมบูรณ์ในปี 1618

เฮ้อ.. ใกล้จบแล้วค่ะ เหลืออีก 5 แห่งเท่านั้น ขอจขบ.พักหน่อยนะคะ ^ ^

ontcftqvx

  • สมาชิกใหม่
  • *
  • Posts: 0
    • View Profile
Re: มรดกโลกในญี่ปุ่น
« Reply #2 on: April 11, 2011, 08:14:50 AM »
จริงๆจขบ.ว่าเนื้อเรื่องมันค่อยๆห่างจาก Group blog ที่ตั้งใจให้เป็นอยู่พอสมควร แต่เอาเถอะ ก็มันอยากจะเขียน

วันนี้จะมาแนะนำมรดกโลกในญี่ปุ่นให้ได้รู้จักกันค่ะ จริงๆที่อยากเขียนเนี่ย เพราะมันเกี่ยวเนื่องกับบล็อคย่อยอีกอัน เลยเอามาเกริ่นไว้ที่นี่ก่อนดีกว่า

ส่วนรูปที่เอามาแปะนี่ส่วนใหญ่ได้มาจากในเว็บนะคะ คงไม่มีปัญญาหาทางไปให้ครบทุกที่ได้ง่ายๆอ่ะค่ะ


ประเทศญี่ปุ่นมีมรดกโลกอยู่ทั้งหมด 14 แห่ง ใน 16 จังหวัด เริ่มจากเหนือลงใต้เลยแล้วกัน

ที่แรกค่ะ


คาบสมุทร Shiretoko (知床) ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะฮอกไกโด ตอนเหนือสุดของประเทศญี่ปุ่น ยื่นลงไปในทะเลโอค็อตสค์ (Okhotsk) ที่นี่ได้รับการบันทึกเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติในปี 2005

คาบสมุทรแห่งนี้มีความสมบูรณ์ในเชิงนิเวศน์วิทยาเป็นอย่างมาก ในฤดูหนาวประมาณต้นเดือนม.ค.เป็นต้นไปแผ่นน้ำแข็งจะลอยมาคลุมเต็มทะเลโอค็อตสค์ ซึ่งเป็นกลุ่มแผ่นน้ำแข็งที่ลอยลงมาต่ำที่สุดในโลก

เมื่อมีแผ่นน้ำแข็งลอยมาทับถมเป็นจำนวนมาก จึงทำให้ทะเลแถบนี้เต็มไปด้วยแพลงตอน อาหารของสัตว์ทะเลน้อยใหญ่รวมทั้งปลาแซลมอนด้วย

พอเข้าฤดูใบไม้ผลิ ปลาแซลมอนเหล่านี้ก็จะว่ายทวนขึ้นไปบนแม่น้ำบนตัวคาบสมุทร กลายเป็นอาหารของหมีสีน้ำตาล, อินทรีหางขาว และสัตว์อื่นๆ จากนั้นมูลรวมทั้งซากของสัตว์เหล่านี้ก็จะกลายเป็นปุ๋ยให้กับพืชพันธุ์ต่างๆบนพื้นดินต่อไป

เป็นการเอื้อซึ่งกันและกันระหว่างผืนน้ำและผืนดินที่แสนจะสมบูรณ์แบบ


ธรรมชาติแถบคาบสมุทร Shiretoko ค่ะ เห็นแล้วอยากไปเนอะ แต่กลัวสู้ความหนาวไม่ไหว > <

แห่งที่สองยังคงเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติค่ะ เทือกเขา Shirakami (白神山地)


เทือกเขา Shirakami กินพื้นที่ตั้งแต่ด้านตะวันตกเฉียงใต้ของจังหวัดอะโอโมริ ไปจนถึงด้านตะวันตกเฉียงเหนือของจังหวัดอะคิตะ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี 1993

เทือกเขาแห่งนี้เป็นป่าไม้บีช ซึ่งเป็นป่าดงดิบที่อยู่ในระดับที่ใหญ่ที่สุดในโลก กินพื้นที่ประมาณ 1,300 ตารางกิโลเมตร แต่พื้นที่ที่ได้รับการบันทึกเป็นมรดกโลกเป็นพื้นที่ตอนกลางประมาณ 170 ตารางกิโลเมตร

อากาศโดยทั่วไปอุณหภูมิจะอยู่ต่ำกว่า 30 องศา ในหน้าหนาวแม่น้ำก็ไม่ได้กลายเป็นน้ำแข็งไปซะทั้งหมด มีฝนตกต่อเนื่องในปริมาณที่พอเหมาะตลอดปี ทำให้ที่นี่มีความอุดมสมบูรณ์เป็นอย่างมาก ทั้งพืชพันธุ์ที่หลากหลายและสัตว์น้อยใหญ่นานาชนิด

แต่หลังจากที่กลายเป็นพื้นที่มรดกโลกไปแล้ว ทางญี่ปุ่นก็หยุดการพัฒนาพื้นที่ในทุกด้าน ไม่มีการตัดถนน ไม่มีทางเดินเท้า ไม่มีการเจาะอุโมงค์ การเดินบนเขาในแถบนี้จึงต้องอาศัยเทคนิคพอตัว แต่ก็ยังเกิดอุบัติเหตุมีคนเคยมาทิ้งชีวิตไว้ที่นี่เหมือนกัน

แห่งที่สาม หนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิต โดยเฉพาะในช่วงฤดูใบไม้ร่วง “ศาลเจ้าและวัดแห่งนิกโก” ในเมืองนิกโก จังหวัดโทะจิงิ ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี 1999 มีสิ่งปลูกสร้างที่ขึ้นเป็นมรดกแห่งชาติ (国宝) 9 ชิ้น และอีก 94 ชิ้นจัดเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญ (重要文化財)

ส่วนที่เป็นมรดกโลกประกอบด้วยศาลเจ้า 2 แห่ง และวัดอีก 1 แห่ง


ศาลเจ้า Nikko Tosho Shrine (日光東照宮) ศาลเจ้าหลักของ Tosho Shrine อื่นๆในญี่ปุ่น สร้างขึ้นในปี 1617 เพื่ออุทิศให้แก่โชกุน Tokugawa Ieyasu โชกุนองค์แรกในสมัยเอโดะ และเป็นต้นตระกูล Ieyasu


ศาลเจ้า Nikko Futarasan Shrine (日光二荒山神社) สร้างขึ้นเพื่อใช้สักการะเทพเจ้าแห่งขุนเขาทั้ง 3 ลูก ได้แก่ Nantai-san, Nyohou-san และ Taro-san


วัด Rinno-ji (輪王寺) วัดลัทธิ Tendai (天台) ในนิกายมหายาน เน้นคำสอนตามหลักสัทธรรมปุณฑรีกสูตร หรือพระสูตรบัวขาว ที่ได้รับอิทธิพลมาจากประเทศจีน เข้ามาในญี่ปุ่นในสมัยเฮอันตอนต้น

มาถึงแห่งที่ 4 ค่ะ “หมู่บ้านทางประวัติศาสตร์ Shiragawa-go (白川郷) และ Gokayama (五箇山)” ได้รับการบันทึกเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมในปี 1995

หมู่บ้านทางประวัติศาสตร์สองแห่งนี้ตั้งอยู่ในคนละจังหวัดกัน Shiragawa-go อยู่ในจังหวัดกิฟุ ส่วน Gokayama อยู่ในจังหวัดโทะยามะ

ลักษณะเฉพาะของบ้านในหมู่บ้าน 2 แห่งนี้คือ หลังคาจะลาดลงคล้ายการพนมมือ ที่ต้องทำหลังคาในลักษณะเช่นนี้ก็เพราะพื้นที่แถบนี้มีหิมะตกหนัก หลังคาที่ลาดลงนี้จึงช่วยลดภาระในการกวาดหิมะลงจากหลังคาได้มาก และเนื่องจากในสมัยนั้นอุตสาหกรรมหม่อนไหมเป็นที่เฟื่องฟู หลังคาแบบนี้จึงช่วยเพิ่มพื้นที่ห้องใต้หลังคาในการทำอุตสาหกรรมหม่อนได้กว้างมากยิ่งขึ้น

บ้านทุกหลังที่นี่หันในทิศตะวันออก-ตะวันตก เพื่อให้หลังคาได้รับแสงจากดวงอาทิตย์อย่างเต็มที่ รวมทั้งเพื่อเป็นการลดแรงลมปะทะที่มาจากทางทิศเหนือใต้ได้อีกด้วย


หมู่บ้าน Shiragawa-go


หมู่บ้าน Suganuma (菅沼合掌集落) ใน Gokayama


หมู่บ้าน Ainokura (相倉合掌集落) ใน Gokayama

เนื่องจากพื้นที่แห่งนี้มีหิมะตกหนัก และรายล้อมไปด้วยขุนเขา ความเจริญจึงเข้าไปได้ยาก ทำให้คนที่นี่ยังสามารถรักษารูปแบบการดำเนินชีวิตแบบดั้งเดิมมาได้จนถึงทุกวันนี้

แห่งที่ห้า หนึ่งในสถานที่ฮอตฮิตติดชาร์ตการท่องเที่ยว “มรดกทางวัฒนธรรมเมืองหลวงเก่าเกียวโต (古都京都の文化財)” ได้รับการบันทึกเป็นมรดกโลกในปี 1994 ครอบคลุมวัดและศาลเจ้าในเมืองเกียวโตและเมือง Uji จังหวัดเกียวโต, วัดในเมือง Ootsu จังหวัดชิงะ ขอแนะนำแค่คร่าวๆแล้วกันนะคะ นอกนั้นก็... ไปหาอ่านกันเอาเอง 55

เริ่มที่วัดและศาลเจ้า เมืองเกียวโต จังหวัดเกียวโตที่ขึ้นเป็นมรดกโลกกันก่อน


Kamigamo Shrine (上賀茂神社) สร้างขึ้นในปี 678 หนึ่งในศาลเจ้าที่เก่าแก่ที่สุดในเกียวโต
Shimogamo Shrine (下賀茂神社) ศาลเจ้าหลักในรูปได้รับการบันทึกเป็นมรดกแห่งชาติ
To-ji Temple (東寺) วัดหลักในนิกาย Shingon (真言) ของญี่ปุ่น เจดีย์ 5 ชั้นที่นี่สูง 55 เมตร เป็นเจดีย์ไม้ที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น
Daigo-ji Temple (醍醐寺) เจดีย์ 5 ชั้นที่นี่เป็นสิ่งก่อสร้างที่เก่าแก่ที่สุดในเกียวโต
Ninna-ji Temple (仁和寺) วัดนี้มีความเกี่ยวข้องกับพระราชสำนักอย่างลึกซึ้งมาตั้งแต่สมัยเมจิ
Ryoan-ji Temple (竜安寺) วัดในนิกาย Rinzai (臨済) ที่มีชื่อเสียงมากก็เห็นจะเป็นสวนหินที่นี่
Kiyomizu-dera Temple (清水寺) หรือที่คนไทยเรามักเรียกกันว่า “วัดน้ำใส” เจดีย์ 3 ชั้นของที่นี่อยู่ในระดับที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น และที่มีชื่อเสียงมากที่สุดเห็นจะเป็นอุโบสถไม้ที่มีระเบียงสร้างยื่นออกมาจากด้านข้างของเนินเขา ระเบียงนี้มีเสาไม้รองรับทั้งสิ้น 139 ต้น และไม่มีการใช้ตะปูยึดแม้ตัวแต่เดียว
Kouzan-ji Temple (高山寺) วัดเก่าที่เรียกได้ว่าเป็นแหล่งรวมมรดกแห่งชาติ และมรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญไว้มากมาย


Saiho-ji Temple (西芳寺) สวนที่มีชื่อเสียงของที่นี่คือ สวนมอส มีมอสกว่า 120 ชนิดด้วยกัน
Tenryu-ji Temple (天竜寺) ไปวัดนี้ต้องไปชมสวน และป่าไผ่ซึ่งอยู่ฝั่งประตูทางทิศเหนือของวัด
Kinkaku-ji Temple (金閣寺) วัดแห่งนี้ใช้ทองไปทั้งสิ้น 20 ก.ก. เริ่มแรกสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ประทับของโชกุน Ashikaga Yoshimitsu (足利義満) และกลายมาเป็นวัดในนิกายเซนหลังจากที่เขาได้เสียชีวิตลง แต่ที่เห็นอยู่นี่ได้สร้างขึ้นมาใหม่ประมาณช่วงปี 1950
Ginkaku-ji Temple (銀閣寺) หรือวัด Jishoji (慈照寺) นี้ สร้างขึ้นเลียนแบบวัด Kinkaku-ji แต่ไม่ได้เงินเป็นประกายเหมือนที่ตั้งใจไว้แต่แรกเริ่ม เนื่องจากเกิดสงครามขึ้นเสียก่อน
Nijo-jo Castle (二条城) ปราสาทสมัยเอโดะ อีกหนึ่งที่พำนักของโชกุน Togukawa Ieyasu
Nishihongan-ji Temple (西本願寺) วัดหลักของลัทธิ Shin Honganji หนึ่งในนิกายชิน สายมหายาน


วัดและศาลเจ้า เมือง Uji จังหวัดเกียวโตที่ขึ้นเป็นมรดกโลก

Byodo-in Temple (平等院) วัดในสมัยเฮอัน อาคารที่มีชื่อเสียงมากที่สุด คือ ศาลา Ho-oo หรือศาลานกฟีนิกซ์ในตำนานจีน ภาพศาลานี้ยังปรากฏอยู่บนเหรียญ 10 เยนอีกด้วย
Ujigami Shrine (宇治神神社) ศาลาหลักของวัดนี้เป็นอาคารในศาลเจ้าที่เก่าแก่ที่สุดที่ยังคงมีให้เห็นในปัจจุบัน


วัดในเมือง Ootsu จังหวัดชิงะที่ขึ้นเป็นมรดกโลก

Enryaku-ji Temple (延暦寺) พื้นที่เขา Hiei-zan (比叡山) จากฝั่งตะวันตกของชิงะไปจนถึงฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของเกียวโตเป็นพื้นที่ของวัดนี้ทั้งหมด

เหนื่อยจัง พอแค่นี้ก่อนละกัน.. ทิ้งบล็อคนี้ไว้เป็นบล็อคส่งท้ายปี 2009 เจอกันใหม่ปีหน้าค่ะ ^ ^

ขอให้ทุกคนมีความสุขตลอดปี ตลอดไปนะคะ ^ ^/