Author Topic: แชร์ประสบการณ์ 8 วัน กับรายได้ 65,205 บาทถ้วน  (Read 3831 times)

Ralphbut

  • สมาชิกใหม่
  • *
  • Posts: 0
    • View Profile
ถ้าการเริ่มต้นเป็นนายตัวเองคือวันเกิด วันนี้เส้นทางโดยไม่เป็นมนุษย์เงินเดือนอายุครบปีครึ่ง จากการใช้ชีวิตเป็นคนตกงาน ผมค้นพบว่าเราอยู่ในยุคที่โลกหมุนเข้าข้างคนตัวเล็ก ไม่ได้หมายถึงขนาดร่างกาย แต่หมายถึงคนที่ไม่มีทุน แต่มีหัวใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความฝันที่จะเป็นนายตัวเองที่ประสบความสำเร็จ ไม่มียุคไหนในโลกใบนี้ที่มีเครื่องมือครบในการสร้างธุรกิจได้ดีเท่ายุคที่เรากำลังหายใจอยู่นี่อีกแล้ว

ได้กลิ่นกันหรือเปล่า สายลม แสงแดด ชีวิต ใช่…!!! เราอยู่ในโลกยุคใหม่ ยุคแห่งอิสระ ยุคที่การเป็นลูกจ้างยากกว่าการเป็นนายตัวเอง…!!!

ย้อนกลับไปเมื่อปี (ครึ่ง) ที่แล้ว แม่เป็นมะเร็ง ผมตกงาน รถโดนทุบ เงินเหลือ 300 มันเป็นวันที่สุดแทนจะทุกข์ทรมาน ปัญหาชีวิตที่รุมเร้าทำให้ผมไม่มีทางเลือก ผมจำเป็นต้องหาเงินเพื่อเอาตัวรอด ต้องหาเงินได้โดยไม่จำกัดวิธี ยกเว้นการเป็นมนุษย์เงินเดือน

การตกงานเพียงครั้งเดียวก็สอนให้ผมรู้ว่าสัจธรรมมนุษย์เงินเดือน คนกินเงินเดือนมีจุดบอดจุดตายเพียงเรื่องเดียว ให้เดา ไม่ใช่เงิน ไม่ใช่เบื่อ ไม่ใช่เพื่อน

แต่จุดบอดจุดตายคือ เมื่อไหร่ก็ตามที่มนุษย์เงินเดือนเจอปัญหาชีวิตที่ต้องใช้เงิน + เวลา ในการแก้ไข มนุษย์เงินเดือนเน่าสนิททันที นั่นคือจุดเริ่มต้นของการเป็นนายตัวเองที่มีรายได้มากกว่าเดิม

วันหนึ่ง ผมได้ยินเทพ IM ทั้งหลายที่สิงอยู่ใน Thaiseoboard นี้พูดถึงหนังสือเล่มหนึ่ง คือ The 4 Hour Workweek หรือชื่อภาษาไทยคือ “สบา่ยดี แต่รวยได้” บวกกับล็อคเกอร์อันดับหนึ่งสาย IT และท่องเที่ยว รีวิวหนังสือเล่มนี้ ผมเลยพยายามค้นหาว่าผมจะเป็นเจ้าของหนังสือเล่มนี้ได้ยังไง จนกระทั่ง IM ท่านหนึ่งชี้ช่องทางการซื้อให้ผม ผมเลยซัดมา 1 เล่มทันที

หลังจากอ่านไป 150 หน้าแรก ชีวิตผมเปลี่ยนทันที และพออ่านไปครบ 200 หน้า ผมรู้ได้เลยว่าผมเจอขุมทรัพย์เข้าให้จังเบ้อเร่อ

ในหนังสือเล่มนี้เขียนถึงชีวประวัติส่วนตัวของผู้เขียน เขาเป็นคนที่ทำงานด้วยเวลาเพียงน้อยนิด แต่กลายเป็นเศรษฐีที่ชีวิตรวยจนรวยไม่รู้เรื่อง ผมหารายได้ 63,825 บาทด้วยประโยคทองคำจากหนังสือ 3 ประโยค

1. ผมไม่ได้อยากเป็นมนุษย์เงินเดือน ผมอยากเป็นพ่อค้า

2. อย่าหาสินค้าก่อนหาลูกค้า ให้หาลูกค้าก่อนแล้วค่อยคิดว่าจะเอาอะไรไปขาย

และ 3. ให้เราเลือกตลาดเฉพาะทางที่เราเจาะได้แล้วจ่ายไหว

เนื้อหาในหนังสือนั้นจะพูดถึงอันตรายและข้อเสียของการเป็นมนุษย์เงินเดือน วิธีการค้าขาย การสร้างธุรกิจโดยใช้เวลาบริหารให้น้อยที่สุด และที่สำคัญคือวิธีเป็นคนรวยที่มีเวลาว่างมากกว่างานประจำ โดยเนื้อหาจะแบ่งออกเป็น 4 ส่วนคือ วิธีการเอาชนะความกลัวแบบชีวิตมนุษย์เงินเดือน การใช้คนอื่นมาทำงานแทนเรา การสร้างธุรกิจแบบ Passive Income และการใช้ชีวิตให้อิสระเสรี

พอผมคิดได้ดังนี้ สมองแกลบๆของผมก็วิ่งทันที ผมมี Vittarot.com ผมมีความรู้เรื่องไพ่ ผมมีคนใน Fanpage ที่กระหายการเป็นนายตัวเองเหมือนกับผม ผมมีความรู้ว่าทำไมยุคนี้การเป็นลูกจ้างถึงยากกว่าการเป็นนายตัวเอง ที่สำคัญที่สุด ผมมีประสบการณ์การตกงานจากการเป็นมนุษย์เงินเดือน แล้วผมจะขายอะไรดี

เมื่อผมคิดไปคิดมา ก็คิดไม่ออก เลยปิดหนังสือเเล้วโยนไว้ตรงหน้า ผมคิดในใจว่าถ้าผมอ่านหนังสือเล่มนี้มาก่อน ผมก็คงจะเป็นนายตัวเองเร็วกว่าเดิมซัก 1 ปี น่าแปลก ทำไมหนังสือเล่มนี้ไม่ดัง ไม่ประสบความสำเร็จ ไม่เป็นที่รู้จักในวงคนหมู่มาก ทั้งๆที่หนังสือเล่มนี้คือพิมพ์เขียวของคนที่อยากเป็นนายตัวเองอย่างแท้จริง…??? ความคิดของผมวนเวียนอยู่อย่างนั้น

ผมอ่านหนังสือ The Freedom Hacker ของพี่พอลแห่งเว็บ Theceoblogger ในตอนหนึ่งพี่พอลเขียนไว้ว่าเจ้านายของเขาเลือกผูกขาดสินค้านำเข้าและทำสัญญาขอเป็นตัวแทนนำเข้าเพียงผู้เดียวในประเทศไทย หลายคนคัดค้านเพราะมันต้องใช้เงินลงทุนมาก แต่การลงทุนครั้งนั้นสร้างผลตอบแทนให้กับเจ้านายของเขาอย่างมหาศาล เพราะเมื่อห้างใหญ่ๆอยากจะนำเข้าสินค้าต่างประเทศ ก็ต้องเจอสัญญาตัวแทนแห่งเดียวในประเทศเป็นปราสาทกั้นทางอยู่

นิวยอร์ก ไทมส์, วอลล์ สตรีท เจอร์นัล และ บิสิเนส วีคจัดให้หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่คนอยากทำธุรกิจรุ่นใหม่สมควรอ่านเป็นอย่างยิ่ง แต่น่าเสียดาย การตีพิมพ์ “สบายดี แต่รวยได้” ตอนปี 2010 ไม่ค่อยประสบความสำเร็จในไทย คนไทยส่วนใหญ่ไม่เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้สามารถเกิดในจริง ไม่มีใครสนใจหนังสือ How to ที่สอนให้เป็นนายตัวเอง แบบ Step by Step จนกระทั่งปี 2014 มาถึง ซึ่งเป็นปีที่เสียงระทมของลูกจ้างดังที่สุด หนังสือเล่มนี้กลายเป็นความหวังของคนที่เบื่อหน่ายการเป็นมนุษย์เงินเดือนทันที



พอผมคิดได้อย่างนั้น ตัดสินใจซื้อ Stock หนังสือในราคาที่ถูกกว่าปกมาทั้งหมด คนขายยิ้มเลยเพราะระบาย Stock กว่า 4 ปีสำเร็จ ส่วนผมก็มานั่งกลุ้มแทนว่าจะทำอย่างไรต่อไป แต่ผมไม่กลัวว่าผมจะขายไม่ได้ เพราะนี่คือหนังสือที่ดีที่สุดเท่าที่มนุษย์เงินเดือนจะได้เจอ ลางสังหรณ์และวิชาไพ่ Tarot ของผมชี้ตรงกันว่ามันจะต้องประสบความสำเร็จแน่ๆ ยิ่งผมได้อ่านคำนิยมกับรางวัลการันตี ผมยิ่งรู้เลยว่านี่คือการค้าขายที่ผมได้เงิน ส่วนลูกค้าได้วิธีสร้างชีวิตใหม่ที่ไม่ใช่มนุษย์เงินเดือน และที่สำคัญที่สุด นี่คือหนังสือภาษาไทยล็อคสุดท้ายในประเทศ หมดแล้วหมดเลย ไม่มีอีกจนกว่าจะหลุดลิขสิทธิ์ใน 1 ปี

ผมตัดสินใจเขียน Salepage ผ่าน Facebook ทันที เขียนตามความรู้สึกของผมหลังจากที่ได้อ่าน “สบายดีแต่รวยได้” จากใจจริง และตั้งราคาขายแพงกว่าปกเพื่อเป็นกำไรอีก 50 บาท
 
นี่คือลิ้งค์ Salepage เผื่อใครจะศึกษาวิธีเขียนครับ

http://goo.gl/4Ya6WK

หลังจากโพสลงไปตอนแปดโมง ผมกลับมาเปิดดูยอดสั่งซื้ออีกครั้งตอน 10 โมง ผลปรากฏว่าผมน้ำตาไหลครับ มือของผมปิดปากแน่น ขยี้สายตาเเบบไม่อยากจะเชื่อ เพราะยอดสั่งซื้อมันเกินกว่าที่ผมคาดคิดไว้มาก ลงขาย 2 ชั่วโมง มียอดสั่งซื้อใน Inbox ทั้งหมด 3 เล่มถ้วน…!!!

ใช่ครับ ทั้งหมด 3 เล่มถ้วน ไม่ได้ตกหล่น 0 ไปตัว

น้ำตาผมไหลพรากๆ แฟนเข้ามาลูบหัวปลอบใจ ผมปล่อยเวลาผ่านไปเรื่อยๆ แล้วมาเช็คยอดสั่งซื้อทาง Inbox อีกทีตอดดึก ปรากฏว่ามียอดสั่งซื้อใน Inbox วันแรกทั้งหมด 39 เล่ม เป็นเงินทั้งหมด 13,455 บาท

ผมคิดในใจว่าทำไมวะ ทำไมมันถึงขายได้ตั้ง 39 เล่ม ผมเลยไล่อ่าน Comment ในหน้า Salepage ปรากฏว่ามีหลายคนมาคอมเม้นท์พร้อมบอกกับผมว่า หาหนังสือเล่มนี้มานานมากๆแล้ว ไม่คาดคิดว่าจะได้เจอในที่นี้ และก็มีหลายคนมาร่วมการันตีว่าหนังสือเล่มนี้ดีจริงๆ พร้อมทั้งยังได้รับการช่วยเหลือในเรื่องการกระจายข่าวสารจากเพื่อนๆและพี่ๆที่เป็นชาว IM อีก ผมซาบซึ่้งในน้ำใจและความกรุณาของทุกๆคนมากๆครับ

พอเข้าวันที่ 2 มียอดสั่งซื้อเข้ามา 55 เล่ม มีเงินโอนเข้าบัญชีของผม 18,975
บาท รวมสองวันเป็นเงิน 32,430 บาท เห้ย ยอดขายวันนี้ทำไมมันดีกว่าเมื่อวาน พออ่านคอมเม้นท์และ inbox เลยทราบว่าได้รับการแนะนำจากเพื่อนๆที่ซื้อไป รวมไปถึงบางคนก็ไม่เคยเห็นหนังสือเล่มนี้มาก่อน แต่เขาต้องการท่ี่จะเป็นนายตัวเอง เลยตามอ่านรีวิวในเน็ต เลยทราบว่าหนังสือเล่มนี้น่าสนใจ

พอเข้าวันที่ 3 มีคน inbox มาว่าได้รับหนังสือแล้ว บางคนก็อ่านบ้าง บางคนยังไม่ได้อ่าน วันที่ 3 มียอดสั่งเข้ามาทั้งหมด 12,075 บาท ผมเริ่มได้รับคำขอบคุณ มีลูกค้าหลายคน inbox เข้ามาขอบคุณเพราะชอบเนื้อหาในหนังสือมากๆ ผมเริ่มอยากกราบตรีนผู้เขียนอย่าง Tim Ferriss แนวคิดเขาทำให้ผมรู้วิธีหารายได้แบบพ่อค้า

วันที่ 4 ผมมียอดสั่งซื้อทั้งหมด 15 เล่ม เป็นเงิน 5,175 บาท ยอดวันนี้เริ่มตก แต่ผมไม่ได้สนใจอะไร ปล่อยให้เนื้อหาในหนังสือขายตัวมันเอง

จากนั้นวันที่ 5 ก็หยุดไป

ในวันที่ 6 มียอดสั่งซื้อทั้งหมด 31 เล่ม เป็นเงิน 10,695 บาท และจากวันที่ 6 มาวันนี้ซึ่งเข้าวันที่ 8 ยอดขายทั้งหมด 65,205 บาทพอดี

หลังจากนี้ผมเชื่อมั่นว่า Stock หนังสือเล่มนี้จะหมดลงในอีก 12 วัน ผมขายหนังสือเล่มนี้เป้าหมายเรื่องเงินเป็นเพียงแค่เป้าเล็กๆเท่านั้น ความตั้งใจจริงๆของผม คือการขายหลักฐานมายืนยันในสิ่งที่ผมค้นพบ ว่าเรากำลังอยู่ในยุคที่ “การเป็นลูกจ้างยากกว่าการเป็นนายตัวเอง” ผมภูมิใจที่ได้ขายหนังสือเล่มนี้ในวงกว้าง ความจริงผมอยากจะเหมา Stock มาซํักพันเล่มด้วยซ้ำ เสียดายทั้งประเทศมีขายแค่เท่าที่ผมถืออยู่จริงๆ

ผมมานั่งวิเคราะห์กันว่าทำไมผมถึงสามารถขายหนังสือได้เยอะ แต่คนที่ถือ Stock กลับขายไม่ดี

1. ผมเข้าใจความทุกข์ทรมานของมนุษย์เงินเดือนที่ทำงานขายเวลา แต่เงินไม่พอใช้ ผมมีความรู้และประสบการณ์ที่เจ็บปวดกับเรื่องนี้อย่างแสนสาหัส มนุษย์เงินเดือนทำงานทั้งชาติก็ไม่มีทางรวย

2. มีมนุษย์เงินเดือนมากมายที่อยากเป็นนายตัวเอง แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะรู้วิธีที่จะเป็นนายตัวเอง ถึงแม้ผมจะเขียนบทความมากมายเกี่ยวกับวิธีการเป็นนายตัวเอง แต่ไม่มีบทความไหนของผมละเอียดเท่าหนังสือเล่มนี้

3. หนังสือเล่มนี้ถูกพิมพ์ครั้งที่ 2 ในปี 2553 ซึ่งเป็นปีที่มนุษย์เงินเดือนไม่ได้อยากออกมาเป็นนายตัวเอง แต่หลังจากเจอรถคันแรกเต็มท้องถนนทุกเช้าและเย็น ก่อนและหลังทำงานนั่นแหละ ทำให้ 2 ปีที่ผ่านมานี้มนุษย์เงินเดือนทุกข์ระทมมากที่สุด

4. ตลอดระยะเวลาที่ผมเขียนบทความ ผมเอาประโยชน์ของผู้อ่านเป็นที่ตั้ง เขาจะได้อะไร ชีวิตเขาจะเปลี่ยนอย่างไร ผมจะสามารถช่วยอะไรพวกเขาผ่านตัวอักษรได้บ้าง จากบทความคุณภาพกลายเป็นสังคมๆหนึ่ง และสังคมของคนที่เลิกเป็นมนุษย์เงินเดือนได้แล้วสอนคนที่อยากเลิกเป็นมนุษย์เงินเดือน

5. ผมบอกทุกคนที่รู้จักผมทั้งตัวจริงและ Fanpage เสมอว่าเงินสำคัญ ผมอยากรวย พอๆกับที่คุณอยาก ผมเลยกล้า “ขาย” ในสิ่งที่ผมมั่นใจ 100% ว่ามันสามารถเปลี่ยนชีวิตคนได้

6. คุณภาพในหนังสือนั้น เนื้อหาต้องเรียกว่าระดับพระกาฬ แต่ที่โครตน่าเสียดายคือหน้าปกห่วย แปลได้จืดสนิท ต้องใช้สมาธิในการอ่านสูง คนที่รักการเป็นมนุษย์เงินเดือนไม่ควรอ่าน และหัวข้อบางอย่างคนไทยทำไม่ได้ง่ายๆเพราะค่าเงินและวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน แต่ Idea ที่เหลือที่เขาให้นั้นใช้ได้เลย…!!!

7. ผมมีความรู้ในการสอนให้คนย้ายจากตัว E (ลูกจ้าง) มาเป็นตัว S (นายตัวเอง) ในเงิน 4 ด้าน แต่ผมไม่รู้วิธีสอนให้คนตัว E (ลูกจ้าง) ย้ายไปเป็นตัว B (Business) แต่หนังสือเล่มนี้สอนได้ แม้แต่ผมยังอยากซื้อเลย ทำไมคนอื่นจะไม่อยากซื้อ 

8. ผมไม่ได้ขายหนังสือ ผมขายทางเลือกให้กับชีวิตคนที่ปรารถนาจะเป็นนายตัวเองและเลิกเป็นมนุษย์ที่คอยจ้องมองนาฬิกาให้ถึงเลข 6 ไวๆอีกต่อไป ตอนนี้ก็เหลือ Stock อีกประมาณหนึ่งเท่านั้น

นี่คือเหตุผลหลักๆ ที่ผมเปิดกระทู้ว่า ถ้ารู้ว่าโลก Internet คือขุมทรัพย์ขนาดนี้ ผมโดดมาเป็นนายตัวเองเต็มตัวนานแล้ว...!  ผมไม่อยากเล่าเรื่องในอดีตว่าผมประสบความสำเร็จยังไง ผมเลยสร้าง Case ใหม่ขึ้นมาเพื่ิพิสูจนไปเลยว่าโลกของ IM เหมือนทะเลที่มีมหาสัมบัติรออยู่ รอแค่คนใจกล้า ตาถึง และรู้วิธีไปเอาเท่านั้น

อย่าลืมว่า

"เป็นลูกจ้าง รายได้คุณมาจากนายจ้างคนเดียว
เป็นนายตัวเอง รายได้คุณมาจากลูกค้าคุณ
เป็น IM สายไทย รายได้คุณ(อาจจะ)มาจากคนไทย 60 ล้าน
เป็น IM สายนอก รายได้คุณ(อาจจะ)มาจากคนทั้งโลก 6000 ล้าน...!!!"

มันไม่สำคัญหรอกว่าคุณจะทำอะไรบนโลก IM แต่มันสำคัญว่าคุณจะขายอะไร อยากรวยต้องอย่าอายที่จะเป็นนักขาย คนรวยทุกคนคือคนที่กล้าขายตัวเองทั้งนั้น วันนี้ที่ผมแชร์ประสบการณ์มา เพราะผมต้องแบ่งปันกลับคืนไปสู่คนที่ต้องการความหวัง ผมเคยเป็นมนุษย์เงินเดือน ตอนที่ชีวิตผมตกต่ำเพราะอยู่ในโลกของมนุษย์เงินเดือนอย่างเดียวก็ไม่เคยมีใครมาสอนผมให้ทำยังไง ดังนั้นถ้าวันหนึ่งที่คุณผิดหวังจากการเป็นมนุษย์เงินเดือน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ ผมอยากให้คุณมี Coach เหมือนกับที่ผมอยากมีในวันนั้น

สู้ๆครับ เป็นกำลังใจให้ทุกๆท่านเสมอ
พบกันที่จุดประสบความสำเร็จครับ

วิชญ์

www.vitmini.com