Author Topic: รวมเว็บเที่ยว เกียวโต โอซาก้า  (Read 9279 times)


ontcftqvx

  • สมาชิกใหม่
  • *
  • Posts: 0
    • View Profile
http://www.wutkate.com/index.asp?pageid=0072&title=JAPAN+TRIP+STORY+14+-+%B5%CD%B9+14+-+%B5%D0%C5%D8%C2%E0%A1%D5%C2%C7%E2%B5+%B5%E8%CD+%E1%C5%D0+%CD%D7%E8%B9%E6%CD%D5%A1%C1%D2%A1%C1%D2%C2%A4%C3%D1%BA&getarticle=542&keyword=&catid

http://ayishere.spaces.live.com/blog/cns!9FD4B1016111BCDD!3416.entry

http://www.stonics.com/article_index.php?id=AR080075




เกียวโต

สถานที่แรกที่ไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่งคือ พระราชวังเกียวโต อดีตที่ประทับของจักรพรรดิญี่ปุ่นก่อนที่จะย้ายเมืองหลวงไปยังเอโดะ พระราชวังแห่งนี้มีชื่อเสียงในด้านสถาปัตยกรรมแบบญี่ปุ่นดั้งเดิมที่เรียบ ง่าย ปัจจุบันได้เปิดบริเวณพระราชฐานชั้นนอกให้คนทั่วไปเข้าชมโดยไม่เสียค่าใช้ จ่าย และยังเป็นจุดชมดอกซากุระและดอกบ๊วยในฤดูใบไม้ผลิที่สวยงามแห่งหนึ่งของเกีย วโต หากต้องการเข้าชมภายในบริเวณพระราชฐานชั้นใน ต้องขอใบอนุญาตเข้าชม 20 นาทีก่อนรอบเช้า 10.00 น. หรือรอบบ่าย 14.00 น.

ไม่ไกลกันนักจากพระราชวังเกียวโต คุณสามารถไปเยี่ยมชม ปราสาทนิโจะ (Nijo-jo) ซึ่งได้รับการคัดเลือกให้เป็นมรดกโลก ปราสาทแห่งนี้เริ่มก่อสร้างโดยเจ้าเมืองโอดะ โนบุนางะ ในปี 1569 โดยมีเพื่อนอย่างโชกุนโทกุงาวะ อิเอยะสุ มาช่วยสานงานต่อจนสำเร็จ ภายในปราสาทมีวังนิโนมารุ กระดานระเบียงเชื่อมหมู่อาคารของวังเป็นพื้น "นกไนติงเกล" เวลาเดินเหยียบพื้นจะมีเสียงดังเหมือนเสียงนกชนิดนี้

สำหรับคนรักศิลปะและละครพื้นบ้านต้องไป ย่านกิออง (Gion) อยู่ใกล้กับ ถนนชิโจะ-คะวะระมะจิ ซึ่งเป็นสถานที่ยอดเยี่ยมสำหรับชมศิลปะเก่าแก่และละครพื้นบ้าน ทั้งยังเป็นถิ่นของเกอิชา ในเกียวโตเรียกเกอิชาว่า "ไมโกะ หรือ เกโกะ" มีความเข้าใจคลาดเคลื่อนว่า เกอิชานั้นคล้ายกับหญิงบริการ แต่จริงๆแล้ว คำว่าเกอิชานั้นมีความหมายถึง “ศิลปิน” (และเกโกะมีความหมายที่จำเพาะกว่าคือ “ศิลปินหญิง”) หน้าที่หลักคือการให้ความบันเทิงในรูปแบบของศิลปะ ดนตรี หรือการร่ายรำ และต้องผ่านการฝึกฝนอย่างหนักกว่าจะผ่านการทดสอบและได้รับการยอมรับ

เกอิชาจึงเป็นเหมือนผู้ให้ความบันเทิงชั้นสูงสำหรับชาวญี่ปุ่นในสมัยโบราณ ภายในย่านกิอองนี้ยังสามารถพบร้านอาหารและอาคารบ้านเรือนแบบดั้งเดิมเรียง รายตามถนนช่วยเสริมความโดดเด่นและบรรยากาศที่ละเอียดอ่อนของเกียวโตในยุค เก่าให้มากขึ้น

ควรไปวัดด้วยจึงจะครบเครื่อง วัดซันจูซันเก็นโดะ (Sanjūsangendō) ในย่านฮิงะชิยามะ มีสิ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วสารทิศให้มาเยือนวัดนี้มากที่สุดคือ พระโพธิสัตว์กวนอิมพันกร พร้อมเหล่าสาวกอีกหนึ่งพัน ซึ่งมีใบหน้าที่แตกต่างกันออกไป นอกจากนั้น วัดนี้ยังมีงานเทศกาลยิงธนูที่มีชื่อเสียง ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 15 มกราคมของทุกปี

ส่วน วัดคิโยะมิซึ (Kiyomizu-dera) ก็มีคนนิยมไปเยี่ยมชมเช่นเดียวกัน ชื่อของวัดนี้มีความหมายว่าน้ำบริสุทธิ์มีที่มาจากน้ำตกที่ไหลผ่านเนินเขาลง มายังบริเวณวัดข้างใต้อาคารหลักคือ น้ำตกโอตะวะ ซึ่งเป็นสายน้ำ 3 สายไหลลงสู่บ่อน้ำ ผู้มาเยี่ยมชมวัดมักจะมาดื่มน้ำจากน้ำตกนี้ด้วยถ้วยโลหะ ซึ่งมีความเชื่อกันว่าสายน้ำตกทั้ง 3 นี้ หมายถึงการมีสุขภาพดี อายุยืนยาว และความสำเร็จในการศึกษา ส่วนวิหารใหญ่ของวัดตั้งอยู่บนไหล่เขา รองรับด้วยเสาไม้มหึมา โดยระเบียงยื่นชะโงกเหนือหุบเขา สามารถมองเห็นวิวเมืองได้โดยกว้าง จึงเป็นจุดชมวิวที่ดีอีกจุดหนึ่งของเกียวโต

วัดนี้สามารถย้อนประวัติไปได้ถึงปี 798 แต่อาคารต่างๆที่เห็นในปัจจุบันถูกสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1633 ภายในบริเวณวัดยังเป็นที่ตั้งของศาลเจ้าอื่นๆจำนวนมาก ที่เป็นที่รู้จักดีคือ ศาลเจ้าจิชู (Jishu-jinja) ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อสักการะเทพโอะคุนินุชิโนะ มิโกะโตะ (Okuninushino Mikoto) เทพแห่งความรักและเนื้อคู่ ภายในศาลเจ้าแห่งนี้ยังมีความเชื่อในเรื่อง "ก้อนหินแห่งความรัก" 2 ก้อน ที่ตั้งอยู่ห่างกัน 18 เมตร โดยหากใครสามารถหลับตาเดินจากก้อนหินก้อนหนึ่งไปยังอีกก้อนหนึ่งได้โดยไม่ ล้มหรือสะดุด ก็จะสมหวังในความรัก

ถ้าไม่ได้มา วัดคินคะคุจิ (Kinkakuji-วัดศาลาทอง) ก็เรียกได้ว่ามาไม่ถึงเกียวโต เพราะวัดแห่งนี้เป็นหนึ่งในสถานที่ไม่ควรพลาดของทุกหนังสือนำเที่ยว ด้วยความงดงามและโอ่อ่าของวิหารหุ้มด้วยทองคำสูง 3 ชั้น ชั้นแรกมีลักษณะเป็นพระราชวัง ชั้นที่สองเป็นแบบบ้านซามูไร ส่วนชั้นที่สามเป็นแบบวัดเซน ซึ่งล้อมรอบด้วยสระน้ำกว้างใหญ่ ทั้งยังแวดล้อมด้วยสวนสวยงามตามสไตล์ญี่ปุ่นโบราณ ประกอบกันขึ้นเป็นทัศนียภาพที่งดงามยิ่ง

ต่อกันด้วย วัดเอคังโด (Eikando) เป็นวัดที่มีอายุเก่าแก่ประมาณ 1,100 ปี สร้างเมื่อประมาณศตวรรษที่ 9 ชื่อเดิมของวัดคือ ชูจูไรโกวซัง มุเรียวจูอิน เซนริง-จิ (Shujuraigousan Muryojuin Zenrin-ji) แต่คนทั่วไปนิยมเรียกตามชื่อผู้นำนิกายของวัด รุ่นที่ 7 คือ ท่านโยคัง ริชชิ (Yokan Risshi) แต่มักจะเรียกกันในนามของท่านเอคัง

ท่านเองคังเป็นอุทิศตนในการช่วยเหลือผู้ยากไร้จนได้รับการยกย่องและความ นับถือจากคนหมู่มากในสมัยนั้น ด้วยประวัติอันยาวนานและความสำคัญของวัดในฐานะศูนย์กลางทางศาสนา แน่นอนว่า ที่นี่ก็ต้องมีวัตถุโบราณที่ได้ถูกจัดเป็นสมบัติของชาติเก็บไว้มากมาย แต่สิ่งที่ทำให้วัดนี้น่าสนใจมากขึ้นก็คือสวนที่สวยงามเป็นอันดับต้นๆ โดยเฉพาะในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ที่ไม่เพียงแค่ชมได้ในช่วงเวลากลางวัน ที่วัดเอคังโดยังจัดให้มีการชมใบไม้แดงและสวนในเวลากลางคืน โดยการประดับตกแต่งไฟอย่างสวยงามและเพิ่มสีสันความน่าตื่นตาตื่นใจในอีกมิติ หนึ่งของการชมสวนด้วย ซึ่งส่วนใหญ่จะจัดขึ้นในราวต้นเดือนพฤศจิกายนของทุกปี สามารถเช็คกำหนดการได้ที่เว็บไซต์ของวัด

*ย่านอะระชิยะมะ (Arashiyama) ถ้ามาเที่ยวเกียวโตในช่วงดอกซากุระบานหรือใบไม้แดง ย่านอะระชิยะมะเป็นอีกแห่งหนึ่งที่ไม่ควรพลาดการมาเที่ยวชม ที่นี่เต็มไปด้วยธรรมชาติขุนเขาและสายน้ำ เมื่อยามที่ดอกซากุระบานสะพรั่งหรือใบไม้เปลี่ยนเป็นสีส้มแดงไปทั้งหุบเขา คงไม่ต้องบรรยายว่าจะเป็นภาพที่สวยงามขนาดไหน ที่นี่ยังมีวัดและร้านค้าขายของกระจุกกระจิกน่ารักมากมาย และจะเดินเที่ยวหรือปั่นจักรยานก็สามารถทำได้ และใช้เวลาเดินทางไม่นานเพียงนั่งรถไฟจากสถานีเกียวโตใช้เวลาประมาณ 20 นาที
 

เกียวโตเป็นเมืองใหญ่อันดับ 7 ของญี่ปุ่น มีจำนวนประชากรราว 1,400,000 คน และเป็นเมืองหลวงเก่าของญี่ปุ่นในช่วงระหว่างปี ค.ศ 794 -1868 ก่อนที่จะมีการย้ายเมืองหลวงมาที่เมืองเอโดะหรือโตเกียวในปัจจุบัน
เกียวโตจำลองแบบมาจากนครฉางอันเป็นเมืองหลวงของจีนในสมัยราชวงศ์ถัง (ปัจจุบันคือเมืองซีอาน) มีผังเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยมและถนนตัดกันเป็นรูปตาราง ซึ่งยังคงหลักฐานอยู่มาจนปัจจุบัน

แม้จะจำลองรูปแบบมาจากจีน แต่ญี่ปุ่นก็ได้สั่งสมและสร้างรูปแบบวัฒนธรรมและสถาปัตยกรรมที่มีลักษณะ เฉพาะของตนเองขึ้นมา ซึ่งได้บ่มเพาะให้เกียวโตเป็นศูนย์กลางความเจริญทั้งทางด้านการศึกษา ศาสนา ศิลปะ เป็นแหล่งวัฒนธรรมประเพณี และที่รวบรวมของล้ำค่าที่ไม่มีที่ไหน เทียบได้ ทั้งวัดวาอารามและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ที่เป็นเครื่องหมายแห่งกาลเวลา รวมถึงถนนหนทางและย่านเก่าแก่ที่เงียบสงบ เป็นเสมือนภาพของญี่ปุ่นโบราณที่ยังคงดำเนินอยู่ในปัจจุบัน แต่ได้แต่งเติมสีสันของความทันสมัยของโลกปัจจุบันเข้าไว้อย่างกลมกลืน นอกจากนั้นยังมีธรรมชาติและทัศนียภาพที่สวยงาม และอยู่ไม่ไกลจากตัวเมือง หากอยากสัมผัสกับญี่ปุ่นในหลากหลายแง่มุม ก็ไม่ควรพลาดมาเที่ยวชมเมืองหลวงเก่าแห่งนี้
ข้อมูลน่ารู้ก่อนเดินทาง
การเดินทางระหว่างเมืองใหญ่

จาก โตเกียวสามารถเดินทางโดยรถไฟด่วนชินคันเซน ใช้เวลา 2.40 ชม. จากสนามบินระหว่างประเทศคันไซ (ใกล้กับเมืองโอซากา) โดยรถด่วนชินคันเซนใช้เวลา 1.15 ชม.
 
การเดินทางภายในเกียวโต

หาก เดินทางภายในตัวเมือง ใช้บริการรถโดยสารจะสะดวกที่สุด เนื่องจากมีเส้นทางเดินรถที่ครอบคลุมและเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยวสำคัญๆ มากที่สุด ถ้าเดินทางไปยังเขตรอบนอกตัวเมืองหรือไปยังเมืองใหญ่ใกล้เคียงอย่างโอซากา หรือนารา สามารถใช้บริการรถไฟ JR Rail ของรัฐ หรือบริการรถไฟของเอกชนอย่าง Keihan, Kintetsu และ Hankyu

    * รถไฟสาย Keihan จะให้บริการระหว่าง สถานีซังโจะ (Sanjo) ในเกียวโตไปยังสถานีโยโดยาบาชิ (Yodoyabashi) ในโอซาก้า
    * รถไฟสาย Kintetsu ให้บริการในหลากหลายเส้นทาง ไม่ว่าจะเป็นเกียวโต-นารา หรือเกียวโต-โอซากาและอื่นๆ
    * รถไฟสาย Hankyu (Kyoto Line) ให้บริการระหว่างย่านคะวะระมะจิ (Kawaramachi) ในเกียวโต กับสถานีอุเมดะ (Umeda) ในโอซากา

นอก จากนั้นยังมีบริการรถไฟใต้ดินอีก 2 เส้นทาง ซึ่งจะวิ่งผ่านบริเวณสถานที่สำคัญๆ ในเมือง เกียวโต แนะนำให้ซื้อบัตรโดยสารประเภท Kyoto Sightseeing One หรือ Two-day Pass Card ซึ่งจะสามารถใช้บริการรถบัสและรถไฟใต้ดินได้แบบไม่จำกัดจำนวนครั้งภายในระยะ เวลาและเขตที่กำหนด หากมีการเดินทางออกนอกเขต จะต้องจ่ายค่าโดยสารเพิ่มเติม ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเดินทางและบัตรโดยสารแบบต่างๆ สามารถอ่านได้ที่เว็บไซต์
เทศกาลที่น่าสนใจในเกียวโต


15 พฤษภาคม - เทศกาลอะโออิ (Aoi Matsuri) จะมีขบวนแห่บุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์โบราณ พร้อมขบวนรถที่มีพรรณไม้ดอกหลากสีอันสวยหรู

14-17 กรกฏาคม - เทศกาลกิออง (Gion Matsuri) เป็นเทศกาลย้อนยุคไปในศตวรรษที่ 9 และจัดเป็นงานเทศกาลที่ใหญ่ที่สุดในเกียวโต ช่วงก่อนงานเทศกาลบริเวณย่านกิอองจะมีประดับตกแต่งขบวนรถและโคมไฟสวยงาม ซึ่งขบวนรถเหล่านี้จะใช้เป็นส่วนหนึ่งในขบวนแห่ผ่านถนนสายหลักหลายสายรอบ เมือง

16 สิงหาคม - งานไดมอนหยิ บอนไฟ (Daimonji Bonfire) เป็นเทศกาลเพื่อส่งดวงวิญญาณผู้ล่วงลับไปแล้วโดยการจุดไฟบนเขาไดมอนหยิ และเห็นได้จากตัวเมืองเกียวโต

22 ตุลาคม - เทศกาลยุคสมัย (Jidai Matsuri) เป็นเทศกาลของศาลเจ้าเฮอันในเกียวโตซึ่งเป็นหนึ่งใน 3 เทศกาลใหญ่ของเกียวโต
เกร็ดความรู้ที่ควรทราบ
Do

    * ถอดรองเท้าก่อนเข้าบ้านหรือเมื่อเข้าไปเยี่ยมชมภายในบริเวณโบสถ์หรือวิหารของวัด
    * ควร เช็คตารางรถไฟหรือรถโดยสารเที่ยวสุดท้ายที่จะกลับให้ดี ถ้าคิดจะเที่ยวจนถึงเวลามืดค่ำ โดยเฉพาะสถานที่ห่างไกลจากที่พักของคุณ จะได้ไม่พลาดจนต้องเรียกแท็กซี่กลับ เพราะค่ารถที่นั่นแพงจนขนหัวลุกเลยทีเดียว
    * ภายในอาคารของสถานที่สำคัญส่วนใหญ่มักจะห้ามถ่ายภาพ ควรเป็นการดีกว่า ที่จะงดถ่ายภาพแม้ไม่เห็นป้ายห้าม

Don't & Let you Know

    * ร้าน ค้าหลายแห่งในเกียวโต แม้จะมีป้ายบอกว่ารับบัตรเครดิต แต่จะรับเฉพาะบัตรเครดิตที่ออกในประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น จึงควรตรวจสอบกับทางร้านก่อนว่า บัตรเครดิตของคุณใช้ได้หรือเปล่า จะได้ไม่เกิดการหน้าแตกหรือมีปัญหาเรื่องการชำระเงิน และที่สำคัญ "ไม่ควรที่จะลืมพกบัตรเดบิตกสิกรไทยไว้ใช้กดเงินจากตู้ ATM ที่มีเครื่องหมาย Plus หรือ VISA ไว้ใช้ในยามฉุกเฉินด้วยล่ะ จะได้
      ไม่ขาดอรรถรสในการท่องเที่ยว"
    * ตู้ เอทีเอ็มในญี่ปุ่นนั้นมีเวลาทำการเป็นช่วงเวลา ซึ่งส่วนใหญ่จะปิดเร็วกว่าในเมืองไทยมาก หากจำเป็นต้องกดเงินสดจากตู้ธนาคารหลังเวลาทำการ ให้ลองมองหาตู้ ATM ในร้าน 7-11 หรือไปรษณีย์สาขาที่มีตู้ ATM (ไปรษณีย์ของญี่ปุ่นให้บริการด้านการเงินและธนาคารด้ว ยและจัดเป็นธนาคารที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น) ซึ่งจะเปิดให้บริการถึง 23.00 น. แต่อาจจำกัดจำนวนเงินที่สามารถถอนได้

http://www.kbeautifullife.com/travel/%E0%B9%81%E0%B8%99%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B8%B3%E0%B8%AA%E0%B8%96%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7/2/6/%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B9%82%E0%B8%95.html

ontcftqvx

  • สมาชิกใหม่
  • *
  • Posts: 0
    • View Profile