พิพิธภัณฑ์นี้ตั้งอยู่ข้างๆกับตึก NHK เลย
พิพิธภัฑณ์นี้ตั้งอยู่บนสถานที่ที่เคยเป็นพระราชวงโบราณมาก่อน นั่นก็คือพระราชวัง Naniwa
ยุคโบราณ หรือที่เรียกว่ายุคนานิวะนั้น
ไม่ได้เป็นเพียงแค่เป็นศูนย์กลางของการขนส่งภายในประเทศเท่านั้น
แต่นานิวะยังเป็นเสมือนหน้าต่างในการติดต่อกับประเทศอื่นในเอเชียตะวันออกอีกด้วย
เนื่องจากโอซาก้าเป็นเมืองท่า (คงรู้กันใช่ไหม??)
ในอดีตบริเวณนี้ก็เป็นท่าเรือโบราณ เรียกว่า Naniwazu
ซึ่งได้มีการติดต่อกับจีนในสมัยราชวงศ์ Sui (581-618 AD)
โดยได้ส่ง Bunrinro Haiseisei และพระ Ganjin มาเพื่อเจรจาทางการทูต
และรวมถึงยังมีผู้ที่มาติดต่อมากมายจากทั้งทางจีนและคาบสมุทรเกาหลี
ในสมัยนั้นมีการก่อตั้งสถาบันระดับชาติขึ้นมากมาย
รวมถึงเครื่องปั้นดินเผา และพราราชวังนานิวะเองก็ถูกสร้างขึ้นด้วยเช่นกัน
โดยปราสาทนานิวะนี้ถูกสร้างขึ้นโดยพระจักรพรรดิ Shomu ในสมัย Nara
(นาราเป็นเมืองหลวงเก่าของญี่ปุ่น ก่อนที่จะเป็นเกียวโต และโตเกียว ตามลำดับ)
ปราสาทนานิวะถูกสร้างขึ้นบนที่ราบสูง Uemachi
ซึ่งทำให้สามารถมองเห็นทะเลได้จากระยะไกล
นานิวะโบราณนั้นมีการติดต่อสื่อสารกับประเทศอื่นๆในเอเชียตะวันออก
โดยการค้าทางทะเล และเป็นเมืองท่าที่มั่งคั่งมากในยุคเริ่มแรกของญี่ปุ่น
จากที่เห็นในรูปจะเห็นได้ว่า ญี่ปุ่นในสมัยโบราณนั้น
ได้รับปอิทธิพลจากจีนมามาก ทั้งสิ่งก่อสร้างและการแต่งการ
โดยในรูปเป็นการจำลองห้องโถงใหญ่ของปราสาทนานิวะในสมัยนั้น
ยุคกลาง และยุคต้นสมัยใหม่
เมื่อครั้นเข้าสมัยยุคกลาง
เมืองโบราณต่างๆได้ถูกเปลี่ยนให้เป็นสถานที่หลากหลายในโอซาก้า
รวมถึงท่าเรือก็ถูกส้รางขึ้นบริเวณแม่น้ำ Yodogawa
ในสมัย Heian นั้น ท่าเรือ Watanabe-no-tsu
ได้ถูกสร้างขึ้นแทนที่ท่าเรือนานิวะในสมัยโบราณ
ในทางตอนใต้ถนน Kumano ได้ถูกสร้างต่อมาจากท่าเรือ Watanabe-no-tsu
และได้กลายเป็นถนนที่มีผู้คนคับคั่ง โดยเฉพาะผู้แสวงบุญที่จะเดินทางไปยัง Kumano, Koya-san และวัด Shitenno-ji
ชุมชนเมืองต่างๆได้เกิดขึ้นบริเวณวัดวาอารามเหล่านั้นนั่นเอง
ภายหลังศตวรรษที่ 11 ผู้ที่มาแสวงบุญทั้งหลายได้ทำให้เศรษฐกิจในบริเวณนี้เฟื่องฟู
และก่อให้เกิดการค้า และช่างฝีมือมากมายไปด้วย
จวบจนสิ้นศตวรรษที่ 16 ในสมัยของ Toyotomi Hideyoshi
เมืองรอบปราสาทโอซาก้าได้ถูกสร้างขึ้น และได้ประโยชน์จากเมืองข้างเคียงด้วยความได้เปรียบทางเศรษฐกิจและสังคม
Toyotomi Hideyoshi สร้าปราสาทโอซาก้าเพื่อเป็นศูนย์กลางของญี่ปุ่น
แต่อย่างไรก็ตามปราสาทและตัวเมืองรอบๆก็ถูกทำลายลงเมื่อสงครามฤดูร้อนของโอซาก้า (the Summer War of Osaka)
โอซาก้าซึ่งเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงด้านการเดินทางทางน้ำนั้นได้ถูกปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่
ในสมัยของโชกุน Tokugawa จนโอซาก้าได้กลายเป็นศูนย์กลาง
ของการค้าและอุตสาหกรรม และได้ถูกเรียกว่า "Tenka no Daidokoro" (ครัวของชาติ)
ผู้คนในระแวกนี้ก็ถูกเรียกว่า "คนเมือง" ไปโดยปริยาย
ในปลายสมัย Edo เศรษฐกิจของโอซาก้าก็สั่นคลอน
เนื่องจากการปฎิวัติทางระบบการเงินในญี่ปุ่น และการเปลี่ยนแปลงในสมัย Meiji นั่นเอง
นิทรรศการในห้องนี้จำลองรูปแบบการเดินทางในสมัยก่อน
คือการเดินทางทางน้ำนั่นเอง .. สมมติให้เราเดินทางไปทางเรือ ผ่านสะพาน
ซึ่งเราสามารถเห็นวิถีชีวิตของคนในสมัยนั้นได้ตามริมแม่น้ำ
ที่เด่นอีกอย่างนึง และที่เราชอบมากก็คือ
การจำลองวิถีชีวิตชาวบ้านโดยใช้แบบจำลอง
ซึ่งแบบจำลองเหล่านี้ก็ทำได้ละเอียดมาก
เมาแอ๋แต่วันเลยคุณลุงคนนี้
อันนี้คุณลุงเจ้าหน้าที่บอกว่า สองคนนี้ไม่ถูกกันเท่าไหร่
เพราะคนนึงเรียนภาษาฮอลันดา อีกคนเรียนภาษาเกาหลี เลยเป็นคนละพวกกัน
คือเค้าเก็บรายละเอียดวิถีชีวิตของคนได้ดีมาก
รายละเอียดทั้งหน้าตา ท่าเดิน กิจกรรมที่ทำ ทำได้น่าประทับใจสุดๆ
เพิ่งนึกได้ว่า.. ไม่เคยเอารัปปราสาทโอซาก้ามาให้ดูกันเลยนี่นะ
คือชอบเอารูปเมืองอื่นมาให้ดู รูปเมืองตัวเองไม่เคยเอาขึ้นเลย เหอๆๆ
รูปนี้คุณพี่ชายถ่ายไว้เมื่อครั้งมาเยี่ยม
ยุคสมัยใหม่และร่วมสมัย
ถึงแม้ว่า"อซาก้าจะประสบปัญหาจากการเปลี่ยนแปลงประเทศในสมัยเมจิก็ตาม
อุตสาหกรรมผ้าฝ้าย และอุตสากรรมอื่นๆก็ยังมีบทบาทสำคัญในโอซาก้า
อีกทั้งหน่วยงานที่ผลิตเหรียญกระษาปณ์ก็ถูกสร้างขึ้นในโอซาก้าในยุคเมจินี้เอง
ในยุคสมัย Taisho โอซาก้าได้กลายเป็นเมืองอุตสาหกรรมชั้นนำของญี่ปุ่น
หลายครั้งโอซาก้าก็ถูกเรียกว่า "เมืองแห่งควัน" เนื่องจากมีโรงงานอุตสาหกรรมจำนวนมากนั่งเอง
อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากการเป็นเมืองใหญ่ก็ก่อให้เกิดปัญหาบางประการ เช่น มลพิษ จำนวนประชากรคับคั่งเกินไป และสิ่งแวดล้อมถูกทำลาย
เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองประทุขึ้นในปี 1941 โอซาก้าได้ถูกโจมตีทางอากาศ ทำให้เกิดความสูญเสียเป็นอย่างมาก เมื่อสงครามสงบลงก็ได้มีการซ่อมแซมเมืองอย่างรวดเร็ว
ในภาพที่เห็น เป็นภาพจำลองถนนช็อปปิ้งชื่อดังของโอซาก้าคือ Shinsaibashi
ในอดีต (ไม่มีรูปในปัจจุบันให้ดูแอะ ไม่เคยถ่าย แหะๆๆ)
หนังสือเรียนในอดีต (จริงๆเค้าห้ามถ่ายรูปอ่ะ แต่ไม่รู้ มาเห็นภาพตอนถ่ายไปแล้ว ก็เลยเลยตามเลย แหะๆๆ)
ขอบคุณข้อมูลจาก
http://sweet-choco-candy.blogspot.com/2006/06/osaka-museum-of-history.html