1. สันหน้าแข้งอักเสบ (Shin splint syndrome )
มีความเจ็บปวดบริเวณหน้าแข้งด้านในตอนล่าง เป็นโรคที่เกิดจากการใช้งานมากเกินไป จนบริเวณนั้นทนไม่ได้ เช่น ไม่นึกถึงสังขารซึ่งฟิตไม่พอสำหรับการวิ่งนั้น ๆ มักพบในพวกที่เริ่มหัดวิ่งใหม่ ๆ นักวิ่งที่วิ่งบนพื้นที่แข็งหรือใส่รองเท้าที่พื้นรองรับเท้าแข็ง และพบในนักวิ่งที่โครงสร้างของเท้าแบบคว่ำบิดออกนอก จะทำให้เกิดแรงกระแทก หรือบิดที่บริเวณหน้าแข็ง มีผลต่อกล้ามเนื้อและเยื่อหุ้มกระดูกบริเวณนั้น ทำให้เกิดการอักเสบขึ้น ถ้ายังฝืนวิ่งต่อไปอีก ทั้งที่มีอาการแล้ว จะด้วยสาเหตุใดก็ตามจะมีอาการรุนแรงถึงกับมีการร้าวแตกของกระดูกบริเวณนั้นได้ อาการที่เกิดขึ้นนี้ จะค่อยเป็นค่อยไป เพิ่มมากขึ้นเร ื่อย ๆ อาจจะเกิดภายหลังการหยุดพักวิ่งแล้วก็ได้ ฉะนั้นเมื่อทราบอาการเช่นนี้แล้ว จึงควรพักรักษาตัว อย่าฝืนวิ่งหรือฝึกต่อไปอีก
การปฐมพยาบาลและการักษา
ในเบื้องต้นก็เหมือนกันทั่ว ๆ ไป คือ พัก ประคบน้ำแข็ง ให้ยาต้านการอักเสบชนิดกิน การให้การรักษาทางกายภาพบำบัดในแง่ความร้อน หรือใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ เช่นคลื่นเหนือเสียง สามารถช่วยให้การหาาายเร็วขึ้น จากนั้นเมื่อกลับมาวิ่ง หรือฝึกซ้อมอีก ก็ต้องค่อย ๆ เพิ่มความเร็วหรือระยะทางทีละน้อย หร้อมกับบริหารกล้ามเนื้อให้แข็งแรง และหลีกเลี่ยง สิ่งแวดล้อมที่จะทำให้เกิดการบาดเจ็บนั้น
การป้องกัน
1.ดูโครงสร้างของเท้าเพื่อปรับปรุงเสริมแต่งให้ปกติก่อนวิ่ง
2.เรียนรู้เทคนิคการวิ่งที่ถูกต้อง
3.หลีกเลี่ยงพื้นวิ่งที่แข็งมากจนเกินไป
4.พื้นรองเท้าวิ่งจะต้องนิ่มพอสมควรไม่ให้แข็ง
5.รู้จักพอ อย่าฝืนวิ่งเมื่อเริ่มมีอาการแล้ว มิฉะนั้นจะต้องพักไปอีกนาน
2.การเจ็บปวดกล้ามเนื้อหน้าแข้งด้านหน้าติดหน้าแข้ง ( Anterior compartment syndrome )
เกิดจากการที่กล้ามเนื้อกลุ่มด้านนี้ขาดเลือดไปเลี้ยง ทำให้กล้ามเนื้อบวม เกิดแรงดันในช่องว่างที่กำจัด เกิดการเจ็บปวดขึ้น เมื่อยังไม่ยอมหยุดวิ่ง จะมีอาการเจ็บปวดมากขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้การบวมของกล้ามเนื้อนั้นกดทับเส้นประสาท เกิดเป็นอัมพาตขึ้นได้ ผู้เขียนพบคนไข้ 2 ราย ที่เป็นอัมพาตของข้อเท้าจากการวิ่ง คือกระดกข้อเท้าไม่ขึ้น ชา ที่เกิดขึ้นนี้เพราะการที่ต้องการที่จะเอาชนะตัวเองในการวิ่ง โดยลืมนึกถีงสังขาร ทั้ง ๆ ที่มีอาการดังกล่าวแล้ว ถ้ามีอาการถึงขั้นนี้แล้วยังไม่ยอมหยุดวิ่งอีก อาจทำให้กับสูญเสียขาไปเลย หมดโอกาสวิ่งอีกต่อไป เพราะไม่มีเท้าจะวิ่ง ( ในต่างประเทศถึงกับถูกตัดขาไปเลยก็มี ) อาการเจ็บปวดดังกล่าวนี้จะค่อย ๆ เป็นมากขึ้นทีละน้อย ๆ ถ้าเราทราบ เมื่อเริ่มมีอาการในระยะแรกได้หยุดพัก อาการจะหายไป แต่ถ้ามีอาการปวดมากขึ้นจนถึงกับกล้ามเนื้อบวมเต็มที่แล้ว อาการเจ็บปวดจะมีลักษณะเฉพาะตัวดังนี้ คือ ปวดอยู่ตลอดเวลา กินยาแก้ปวดก็ไม่หายหรือบรรเทาลงเลย แต่กลับปวดมากขึ้นเรื่อย ๆ และที่สำคัญถ้าลองจับนิ้วเท้าเหยียด หรืองอไปมา จะมีอาการเจ็บปวดรุนแรงมาก ถึงกับร้องหรือแสดงสีหน้าเจ็บปวดมาก เมื่อมีอาการถึงขั้นนี้แล้ว ต้องรีบพบแพทย์ทันทีทันใด ไม่มีการรีรออีกต่อไป เพราะอันตรายมาก