http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=happytobeme&date=15-01-2010&group=6&gblog=6มาถึง 5 แห่งสุดท้าย จะได้ไปเริ่มเรื่องใหม่ซักที ^ ^
มรดกโลกแห่งที่สิบ “เหมืองเงินอิวามิและภูมิทัศน์ทางวัฒนธรรม (石見銀山遺跡とその文化的景観)” ได้รับการบันทึกเป็นมรดกโลกในปี 2007 ซึ่งถือเป็นมรดกโลกน้องใหม่ล่าสุดของญี่ปุ่น
เหมืองเงินอิวามิตั้งอยู่ในจังหวัดชิมาเนะ เป็นเหมืองเงินที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น รุ่งเรืองมากตั้งแต่ช่วงปลายสงครามกลางเมืองจนถึงต้นสมัยเอโดะ แต่ปัจจุบันได้ปิดเหมืองไปแล้ว
เหมืองเงินแห่งนี้เกิดขึ้นพร้อมกับความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่น ในสมัยนั้นญี่ปุ่นสามารถถลุงแร่ได้ 200 ตันต่อปี (มาจากเหมืองอิวามิ 38 ตัน) ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนที่ 1 ใน 3 ของปริมาณทั้งหมดทั่วโลก
โดยทั่วไปแล้ว เพื่อความบริสุทธิ์ของเงินจำเป็นจะต้องใช้ถ่านไม้เป็นจำนวนมาก แต่สำหรับเหมืองเงินอิวามินี้ ได้มีการควมคุมและพัฒนาการทำเหมืองให้กระทบกับสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด ส่งผลให้แม้ในปัจจุบันพื้นที่ในแถบเหมืองก็ยังคงมีป่าไม้หลงเหลืออยู่
แห่งที่สิบเอ็ด “อนุสรณ์สันติภาพฮิโรชิมา หรือที่รู้จักกันในนาม โดมปรมาณู (広島平和記念碑)” ได้รับการบันทึกเป็นมรดกโลกในปี 1996
จากชื่อก็แน่นอนว่า อนุสรณ์สถานแห่งนี้ตั้งอยู่ในจังหวัดฮิโรชิมา เป็นอนุสรณ์เพื่อรำลึกถึงผู้เคราะห์ร้ายที่เสียชีวิตลงจากน้ำมือของระเบิดปรมาณู Little Boy ในสงครามโลกครั้งที่สอง
อาคารแห่งนี้เดิมสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นหอแสดงสินค้าของฮิโรชิมา หลังจากนั้นก็เปลี่ยนมาเป็นหอส่งเสริมอุตสาหกรรมฮิโรชิมาก่อนที่จะถูกทำลายลง
8 โมง 15 นาที ของวันที่ 6 ส.ค. 1945 เครื่องบิน B-29 ชื่อ Enola Gay ได้ทิ้งระเบิดปรมาณูลงในฮิโรชิมา โดยมีเป้าหมายอยู่ที่สะพาน Aioi-bashi (相生橋) ทางตะวันตกของ “หอส่งเสริมอุตสาหกรรมฮิโรชิมา”
หลังจากที่ระเบิดถูกปล่อยลงมาเพียง 0.2 วินาที รังสีความร้อนที่มีพลังงานมากกว่าแสงอาทิตย์ถึงหลายพันเท่าก็แผ่กระจายออกไป อุณหภูมิพื้นผิวสูงถึง 3,000 องศาเซลเซียส หลังจากนั้นเพียง 0.8 วินาทีก็เกิดแรงลมความเร็วมากกว่า 440 เมตรต่อวินาที ทำให้อาคาร “หอส่งเสริมอุตสาหกรรมฮิโรชิมา” ถูกเผาทำลายลงในเวลาเพียง 1 วินาทีเท่านั้น เหลือเพียงซากโดมตรงกลางเอาไว้
แล้วทำไมโดมถึงไม่ถูกทำลาย (?) คาดกันว่าน่าจะเนื่องมาจาก...
ตัวโดมได้รับรังสี Shock Wave จากด้านบนโดยตรง
ตัวโดมมีกระจกเป็นจำนวนมาก ทำให้แรงลมที่มาปะทะทะลุผ่านกระจกออกไป ความดันอากาศภายในตัวโดมจึงไม่สูงกว่าอากาศภายนอก
อีกทั้งหลังคาของตัวโดมทำด้วยแผ่นทองแดง ซึ่งมีจุดหลอมเหลวต่ำกว่าโครงเหล็กของตัวอาคารที่ถูกทำลายลง เมื่อโดนรังสีความร้อนไปในช่วง 0.2 วินาทีแรก แผ่นทองแดงก็ละลายไปหมด เมื่อมีแรงลมปะทะตามมาลมก็ผ่านโดมไปได้ง่ายมากขึ้น
โดยปกติแล้ว ญี่ปุ่นจะขอเสนอชื่อสถานที่ใดๆขึ้นเป็นมรดกโลกนั้น ก็ต้องเข้าเงื่อนไขที่ว่า สถานที่นั้นๆต้องได้รับการคุ้มครองตามกฏหมายญี่ปุ่นด้วย เช่น ถ้าเป็นมรดกทางวัฒนธรรมก็ต้องอยู่ภายใต้การดูแลตามกฏหมายคุ้มครองมรดกทางวัฒนธรรมของญี่ปุ่นเสียก่อน แต่เนื่องจากอาคาร “โดมปรมาณู” นี้มีอายุการใช้งานเพียงไม่กี่ปี จึงไม่ถือเป็นมรดกทางวัฒนธรรม ไม่สามารถยื่นขอขึ้นเป็นมรดกโลกได้ (จริงๆจะยื่นก็ได้ เพราะ UN ไม่มีเงื่อนไขเหล่านี้ ญี่ปุ่นสร้างเงื่อนไขของเค้าขึ้นมาเอง)
แต่เนื่องจากมีการล่ารายชื่อขอเสียงสนับสนุนการยื่นขอ “โดมปรมาณู” ให้ขึ้นเป็นมรดกโลกไปทั่วประเทศญี่ปุ่น โดยมีผู้ลงนามมากกว่า 1.65 ล้านคน รัฐบาลญี่ปุ่นจึงได้นำไปพิจารณาเป็นกรณีพิเศษ
มาถึงแห่งที่สิบสองค่ะ ยังอยู่กันที่ฮิโรชิมา “ศาลเจ้า Itsukushima Shrine (厳島神社)” ขึ้นเป็นมรดกโลกในปี 1996
ศาลเจ้า Itsukushima ตั้งอยู่บนเกาะ Miyajima (宮島) เป็นศาลเจ้าหลักของ Itsukushima Shrine ที่มีอยู่ประมาณ 500 แห่งทั่วญี่ปุ่น
ชาวญี่ปุ่นในสมัยนั้นเชื่อว่า เกาะ Miyajima เป็นเกาะศักดิ์สิทธิ์ จึงได้มีการสร้างศาลเจ้าขึ้นที่นี่เพื่อใช้เป็นที่สักการะเทพเจ้า
สัญลักษณ์ของที่นี่คือ ประตู Torii ที่ตั้งอยู่ในทะเลบริเวณช่องแคบ Oono-seto (大野瀬戸) มีความสูง 16 เมตร ซึ่งสูงพอๆกับพระพุทธรูป Daibutsu ในนารา หนักประมาณ 60 ตัน เสาหลักทำมาจากไม้การบูรอายุ 500 – 600 ปี ที่เห็นนี่เป็นเสารุ่นที่ 8 แล้ว
ศาลเจ้าแห่งนี้ได้รับการจัดอันดับให้เป็น “หนึ่งในสามทิวทัศน์ที่งดงามที่สุดในญี่ปุ่น” อีก 2 แห่งก็คือ
หมู่เกาะ Matsushima (松島) ในจังหวัดมิยางิ มีเกาะน้อยใหญ่มากกว่า 260 เกาะ
และสันดอนทราย Amanohashidake (天橋立) ในเกียวโต ซึ่งมีความยาวถึง 3.6 ก.ม.
แห่งที่สิบสาม “เกาะ Yaku-shima (屋久島)” ในจังหวัดคาโงชิมะ ขึ้นเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติในปี 1993
เกาะ Yaku-shima เป็นเกาะที่ใหญ่เป็นอันดับสองในจังหวัดคาโงชิมะ รองจากเกาะ Amami Ooshima (奄美大島) ส่วนพื้นที่ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกคิดเป็น 21 % ของพื้นที่เกาะ
เกาะนี้มีธรรมชาติที่หลากหลาย ตรงกลางเกาะมียอดเขา Miyanoura-dake (宮之浦岳) สูง 1,936 เมตร ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในภูมิภาคคิวชู นอกนั้นยังมีภูเขาสูงในระดับ 1,000 เมตรขึ้นไปอีกหลายลูก จึงได้ชื่อว่าเป็น “แอลป์แห่งท้องทะเล”
เป็นพื้นที่ใต้สุดของญี่ปุ่นที่มีพื้นที่ชุ่มน้ำในระดับสูง มีฝนตก 35 วันต่อเดือน มีพืชพันธุ์ตั้งแต่พืชเขตอบอุ่นไปจนถึงพืชเขตหนาว
เป็นพื้นที่ใต้สุดของญี่ปุ่นที่มีหิมะตก โดยจะตกบนยอดเขาที่มีอุณหภูมิโดยเฉลี่ยตลอดปีอยู่ที่ 5 องศา (ซึ่งต่ำกว่าอุณหภูมิในซัปโปโรซะอีก)
มีต้นโจมงซีดาร์ ซึ่งเป็นสนซีดาร์พันธุ์ที่หาได้ในเกาะ Yaku-shima เท่านั้น ที่ได้ชื่อว่า “โจมงซีดาร์” ก็เนื่องมาจาก สันนิษฐานกันว่าต้นสนนี้มีมาตั้งแต่สมัยโจมงของญี่ปุ่น ปัจจุบันมีอายุมากกว่า 4,000 ปี และตอสนที่พบเห็นบนเกาะก็ว่ากันว่าเป็นตอสนที่เหลือจากการตัดไปสร้างปราสาทโอซากา
ทางตอนเหนือของเกาะ เป็นที่วางไข่ที่มีชื่อเสียงของเต่าหัวค้อน (Loggerhead turtle)
มีน้ำตกที่มีชื่อเสียงหลายแห่ง เช่น
Toroki no Taki (トローキの滝) มีความสูง 6 เมตร เป็นหนึ่งในสองแห่งของน้ำตกในญี่ปุ่นที่ไหลลงสู่ทะเลโดยตรง (อีกแห่งคือน้ำตก Oshin-koshin no Taki ในฮอกไกโด)
Ooko no Taki (大川の滝) สูง 88 เมตร เป็นน้ำตกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดใน Yaku-shima
Sempiro no Taki (千尋の滝) สูง 60 เมตร ตกจากผาหินแกรนิตขนาดใหญ่
ที่นี่ยังมีชื่อเสียงเรื่อง Onsen อีกด้วย อาบน้ำไป ชมทะเลไป ถ้าใครกล้าเปลือยก็เอาเลยค่ะ เต็มที่ !
มาถึงแห่งสุดท้ายแล้วค่ะ แห่งที่สิบสี่ “ปราสาทและสิ่งก่อสร้างอันเกี่ยวข้องกับอาณาจักรริวกิว (琉球王国のグスク及び関連遺跡群)” ได้รับการบันทึกเป็นมรดกโลกในปี 2000 แสดงถึงวัฒนธรรมริวกิวซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากทั้งจีนและญี่ปุ่น ประกอบไปด้วยสถานที่ 9 แห่งซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเกาะโอกินาวา
ส่วนที่เป็นปราสาทมีทั้งสิ้น 5 แห่งด้วยกัน
ร่องรอยปราสาท Shuri (首里城跡) ปราสาทที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในราชวงศ์ริวกิวที่อยู่ในโอกินาวา
ร่องรอยปราสาท Nakijin (今帰仁城跡) ขุดพบเครื่องเคลือบดินเผาจากจีนและเอเซียตะวันออกเฉียงใต้เป็นจำนวนมาก
ร่องรอยปราสาท Naka-gusuku (中城城跡) ตั้งอยู่บนเนินสูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 160 เมตร เป็นปราสาทที่เหลือร่องรอยไว้มากที่สุด จากกำแพงหินเราสามารถมองเห็นทะเลจีนตะวันออก (East China Sea) และอ่าว Naka-gusuku ฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิคได้
ร่องรอยปราสาท Zakimi (座喜味城跡) มีการปรับปรุงซ่อมแซมขึ้นมาใหม่ และซุ้มประตูหินก็ยังคงลักษณะเดิมเอาไว้
ร่องรอยปราสาท Katsuren (勝連城跡) ตั้งอยู่บนเนินเขาขนาบด้วยมหาสมุทรแปซิฟิค
ส่วนอื่นๆที่ไม่ใช่ปราสาท ได้แก่
สวน Shikina-en (識名園) อยู่ทางใต้ของปราสาท Shuri ศิลปะผสมระหว่างศิลปะจีนกับศิลปะโอกินาวา
สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ Seifa-utaki (斎場御嶽) ศาลเจ้าชินโตของชาวริวกิว
ประตูหิน Sonohyan-utaki (園屋武御嶽) สถานที่ศักดิ์สิทธิ์นี้คือป่าหลังประตูหิน เป็นสถานที่ที่กษัตริย์จะต้องมากราบไหว้ก่อนออกเดินเรือเสมอ
และที่สุดท้าย สุสาน Tamaudun (玉陸) ใช้เป็นสุสานฝังพระศพของกษัตริย์ริวกิว
จบแล้ว เย้ๆๆๆๆๆๆ เหนื่อยมาก จะมีใครเข้ามาอ่านบ้างมั๊ยน้า...