Author Topic: ข้อมูล ทั่วไปเกี่ยวกับประเทศญี่ปุ่น  (Read 11795 times)

mr_a

  • Guest
 
 ข้อมูลทั่วไปของประเทศญี่ปุ่น

     เมื่อกล่าวถึงประเทศญี่ปุ่นแล้ว  เป็นประเทศที่หลายคนใผ่ฝันอยากจะไปท่องเที่ยวพักผ่อน ศึกษา  ทำงาน  หรืออาจหลายหลายจุดประสงค์ตามแต่ต้องการ  ดังนั้น เราจึงควรรู้ถึงข้อมูลทั่วไปของประเทศญี่ปุ่น เช่น พื้นที่ แผนที่  เขตการปกครอง  อูณหภูมิ  ประชากร

 
อ่านเพิ่มเติม... [ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับประเทศญี่ปุ่น]
 
ประวัติธงชาติญี่ปุ่น (Japan National Flag)    PDF    พิมพ์    อีเมล

 ประวัติ ธงฮิโนะมะรุ
มีตำนานเล่าว่าธงฮิโนะมะรุถือกำเนิดขึ้นใน ระยะที่มองโกลรุกราน ญี่ปุ่นช่วงพุทธศตวรรษที่ 18 โดยพระภิกษุในพระพุทธศาสนารูปหนึ่งชื่อนิชิเร็น ได้คิดแบบธงพระอาทิตย์นึ้ขึ้นถวายสมเด็จพระจักรพรรดิญี่ปุ่น ซึ่งเป็นที่นับถือจากชาวญี่ปุ่นว่าทรงสืบเชื้อสายมาจากสุริยเทวีอามาเทราสุ ในความจริงแล้ว เป็นที่รู้กันว่าสัญลักษณ์รูปพระอาทิตย์มีอยู่ในพัดญี่ปุ่นของพวกซามูไร ช่วง           
อ่านเพิ่มเติม... [ประวัติธงชาติญี่ปุ่น (Japan National Flag)]
 
กีฬา (Sports)    PDF    พิมพ์    อีเมล

กีฬาของประเทศญี่ปุ่น

         ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีกีฬาประจำชาติ อยู่หลากหลายประเภท แต่กีฬาที่เป็นที่นิยมคงหนีไม่พ้น  กีฬามวยปล้ำ(ซูโม่)  นอกจากนี้ ยังคงมีกีฬายูโด ,  เคนโด้หรือกีฬาฟันดาบ , คาราเต้   , ไอกิโด
อ่านเพิ่มเติม... [กีฬา (Sports)]
 
วันหยุดราชการประจำปีของญี่ปุ่น    PDF    พิมพ์    อีเมล

 

 วันหยุดราชการประจำปี ของญี่ปุ่น

            ประเทศญี่ปุ่นมีวันหยุดราชการอยู่หลายวัน ก่อนที่จะไปเที่ยว โปรดศึกษาวันหยุดราชการด้วย เพราะ พิพิธภัณฑ์อาจจะปิด  และ บางที่อ่าจจะเปิดทำการ ให้เยี่ยมชมก็ได้
อ่านเพิ่มเติม... [วันหยุดราชการประจำปีของญี่ปุ่น]
 
ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น (Japan History)    PDF    พิมพ์    อีเมล

ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น
ลักษณะ เด่นของประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น มี 2 ประการ คือ
1. ญี่ปุ่นยังรักษาวัฒนธรรมของตนไว้ได้เป็นเวลาถึงหนึ่งหมื่นปี นับแต่ยุคโบราณจนถึงยุคปัจจุบัน โดยไม่เคยถูกกลืนเข้ากับวัฒนธรรมจากภายนอก
2. ญี่ปุ่นนำวัฒนธรรมต่างชาติเข้ามาตั้งแต่ครั้งอดีต และประยุกต์ให้เข้ากับวัฒนธรรมของตนจนสามารถพัฒนาประเทศให้เจริญรุ่งเรือง

ยุคก่อนประวัติศาสตร์และยุคโบราณ (8,000 ปีก่อนคริสตกาล - ศตวรรษที่ 11)
ยุคนี้เริ่มจาก การรวบรวมชนเผ่าเล็กๆ ขึ้นมาเป็นจักรวรรดิ และปกครองโดยใช้ระบบของจีนที่เรียกว่า ริทสึเรียว* ritsuryou : การใช้กฏหมายและหลักจริยธรรมตามแบบราชวงศ์สุยกับราชวงศ์ถัง แต่ เกิดมีความขัดแย้งขึ้นมาจนลุกลามออกไป หัวเมืองที่อยู่ห่างไกลแยกตัวจากรัฐบาลกลาง และก่อตั้งเป็นกลุ่มทหารกลุ่มต่างๆ
   สมัยโจมน (Joumon Period)       สมัยยะโยะอิ (Yayoi Period)
   สมัยสุสานโบราณ (Kofun Period)      สมัยนะระ หรือ นารา (Nara Period)
   สมัยเฮอัน (Heian Period)       

ยุคกลาง(ศตวรรษที่ 12-16)
เป็น ยุคที่ชนชั้นปกครอง ราชวงศ์และเชื้อพระวงศ์หมดอำนาจลง การปกครองตกไปอยู่กับชนชั้นนักรบซึ่งเป็นผู้สร้างระบบศักดินาขึ้นต่อไป
   สมัยคะมะคุระ (Kamakura Period)      สมัยราชวงศ์เหนือใต้ (Ashikaga Takauji and Yoshino)
   สมัยมุโระมะฉิ (Muromachi Period)       

สมัยกลางใหม่ (ศตวรรษที่ 16 - กลางศตวรรษที่ 19)
เป็นยุคที่โชกุนและไดเมียว มีอำนาจปกครองสิทธิขาดเหนือที่ดินและประชาชน อันเรียกว่า การปกครองแบบ บะ คุฮัง (Bakuhan) ซึ่งระบบนี้พึ่งพาเศรษฐกิจอันมาจากผลผลิตทาง
การ เกษตร
   สมัยอะซุฉิ-โมะโมะยะมะ (Azuchi-Momoyama Period)      สมัยเอะโดะ (Eido Period)

สมัยใหม่-สมัยปัจจุบัน (กลางศตวรรษที่ 19 - ปัจจุบัน)
ญี่ปุ่นใช้เวลาหลังจากเปิดประเทศเมื่อกลางศตวรรษที่ 19 เพียงครึ่งศตวรรษ ก็เข้าสู่ความเจริญเทียบเท่าตะวันตก
   สมัยเมจิ (Meiji Period)      สมัยไทโช-โชวะ (Taishō-Shōwa Period)
 
ลักษณะเด่นของวัฒนธรรมญี่ปุ่น    PDF    พิมพ์    อีเมล

 

ลักษณะเด่นของวัฒนธรรมญี่ปุ่น
       ลักษณะ เด่นอของวัฒนธรรมญี่ปุ่นที่นักวิชาการและนักวิจัยทั้งในและนอก ประเทศได้กล่าวไว้มีมากมาย ในที่นี้จะขอกล่าวถึงลักษณะเด่นๆ 4 ประการดังต่อไปนี้

   1. ความหลากหลาย
   2. ความ เป็นเอกภาพ
   3. การทำให้เป็นของญี่ปุ่น
   4. การ เน้นหนักในรูปธรรม


mr_a

  • Guest
ฮาราคีรี วิธีการฆ่าตัวตาย

        ฮาราคีรี....พวก เรารู้จักกันว่าเป็น วิธีการฆ่าตัวตายและวิธีการประหารชีวิต ของคนญี่ปุ่นในอดีต โดยเฉพาะสมัยที่มีซามุไรมากๆ ปัจจุบันนี้การฆ่าตัวตายด้วยวิธีนี้ยังมีอยู่หรือไม่ในสังคมญี่ปุ่น
ก่อนอื่นเรามารู้จักกับคํา ๆ นี้กันก่อนว่ารากศัพท์นี้มันมาจากไหน ฮาราคีรี มาจาก

ฮาระ แปลว่า ท้อง
คิริ ที่แปลว่า ตัด รวมๆแล้วความหมายก็คือ ตัดท้อง ภาษาญี่ปุ่น มีอีกคําหนึ่งซึ่งความหมายเดียวกันคือคําว่า

เส็บ พุขุ
       การประหารชีวิตและการฆ่าตัวตายด้วยวิธีนี้ เขาไม่ได้เอามีดแทงเข้าไปในท้องตัวเองเฉยๆ มันมีวิธีการที่เสียวกว่านั้นแทงท้องทางด้านซ้าย
รวบรวมพละกําลังที่มีเหลืออยู่ดึงมีดที่ปักอยู่ในท้องไปทางด้านขวา ตัดไส้ตัดพุงให้ขาด(ถ้าทําได้)
ถ้ายังไม่ตายให้ใช้พลังเฮือกสุดท้ายที่อาจจะยังเหลืออยู่ดึงมีดขึ้นข้างบน
แค่นึกภาพก็เสียวแทนแล้ว แต่นี่ยังธรรมดา ถ้าย้อนไปในอดีต สมัยแรกๆที่นํา ฮาราคีรี มาเป็นวิธีการประหารชีวิต สมัยนู้น ฮาราคีรี มีถึง 3 รูปแบบ แบ่งประเภทตามลักษณะของตัวคันจิ เลขหนึ่ง เลขสิบ แล้วก็ เลขสาม คือตัดเป็นรูปตัวอักษรคันจินั่นเอง

       แค่ แทงเข้าท้องอย่างเดียวก็เสียวแล้ว นี่ต้องลากมีดจากซ้ายไปขวาให้เป็นเลขหนึ่งอีก เลขหนึ่งอาจจะพอลุ้น แต่ถ้าเป็นรูปเลขสิบกับเลขสามนี่ คงต้องแทงท้อง ปักเข้าถอนออกกันหลายเที่ยวทีเดียวกว่าจะตายสมใจ ...ซวบ! เอ้า...ซวบอีกที ยังไม่พอ ขออีกที ซวบ! ฮือ... ขนลุก

       จริงๆแล้วในการประหารชีวิตด้วยวิธีนี้ จะมีเพชรฆาตรอตัดหัวอยู่ด้านหลังเพื่อไม่ให้ทรมาน หลายคนบอกว่า มันเป็นเรื่องยากมากที่จะดึงมีดที่อยู่ในท้องขึ้นๆลงๆ เพราะมนุษย์เราคงทนพิษบาดแผลไม่ไหว ถ้าไม่ตายก่อนก็คงไม่มีกําลังเหลือพอที่จะทําเรื่องที่เหนือมนุษย์ ทําได้หรือไม่ได้...ความจริงเป็นอย่างไรไม่อาจทราบได้ แต่ถ้าเป็นจริง ก็ต้องทึ่งกับความเป็นเลือดซามุไรของคนญี่ปุ่นในอดีตจริงๆ

ใน สมัยเอโดะ ก็เปลี่ยนรูปแบบเป็นแค่พิธีการอย่างเดียว คือ คนที่จะถูกประหารชีวิตจะนั่งบนเสื่อตาตามิ ข้างหน้าจะมี มีด หรือไม่ก็ พัด วางอยู่ แต่มีดนั้นก็ไม่ใช่มีดจริง เป็นมีดไม้ พอผู้ที่จะถูกประหารหยิบมีดหรือพัดขึ้นมา เพชรฆาตที่เตรียมตัวอยู่ด้านหลังก็ลงมีด ตัดหัวทันที คือ ฮาราคีรีในสมัยหลังๆเป็นเพียงแค่พิธีการเท่านั้น จริงๆแล้วก็คือการตัดหัวประหารชีวิตเหมือนบ้านเรานั่นเอง

       ปัจจุบันนี้ การฆ่าตัวตายของคนญี่ปุ่น ส่วนมากจะนิยมแขวนคอกันซะมากกว่า พูดว่านิยมคงไม่ดีเท่าไหร่คงต้องบอกว่าเป็นสถิติ เดี๋ยวนี้คนที่อยากตายจะไม่ทําอะไรที่มันหวาดเสียวเหมือนแต่ก่อน แต่...เมื่อหลายปีที่แล้วช่วงที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นอยู่ในช่วงทรุดหนัก พนักงานที่มีอายุในหลายๆบริษัทถูกบังคับให้ลาออก....แล้วก็มีคดีที่น่าหวาด เสียวเกิดขึ้นพนักงานคนหนึ่งของบริษัทแห่งหนึ่ง ทําฮาราคีรี แทงท้องตัวเองต่อหน้าผู้จัดการ คําพูดที่พนักงานคนนั้นทิ้งเอาไว้คือ.... ผมอุทิศทั้งกายและใจเพื่อบริษัทมาตลอด ทําไมต้องทํากับผมแบบนี้

       เป็นคดีที่ดังมากในญี่ปุ่นตอนนั้น แน่นอนวิธีที่ชายคนนั้นฆ่าตัวตายก็เป็นอะไรที่คนญี่ปุ่นฟังแล้วต้องทึ่ง แต่เรื่องที่น่าสนใจมากกว่านั้นก็คือ คดีนี้ได้บอกว่า ระบบการว่าจ้างตลอดชีพ ระบบการดูแลพนักงานตั้งแต่วันแรกที่ก้าวเข้ามาในบริษัทจนกระทั่งเกษียร และความรู้สึกของพนักงานต่อบริษัท ระบบหลายๆอย่างที่เป็นเอกลักษณ์ของสังคมญี่ปุ่น ...กําลังเริ่มสั่นคลอน
 
ข้อควรรู้เกี่ยวกับการคบหาสมาคม    PDF    พิมพ์    อีเมล

ข้อควรรู้เกี่ยวกับการคบหาสมาคม

ชาวญี่ปุ่นมักจะมองชาวต่างชาติด้วยสายตา อยากรู้อยากเห็น

       สิ่งแรกที่ทำให้ชาวต่างชาติเกิดความรู้สึกกระอักกระอ่วนเมื่อเดินทาง มาประเทศญี่ปุ่น ก็คือ การถูกชาวญี่ปุ่นจ้องมอง แม้ว่าตามสถานที่ที่มีชาวต่างชาติอยู่มาก เช่น ตามเมืองใหญ่ ๆ อย่างโตเกียว โรงแรม หรือสนามบิน จะไม่พบเหตุการณ์เช่นนี้บ่อยนัก แต่ควรตระหนักไว้ว่าในสถานที่ที่อยู่ห่างไกลออกไป ยังคงมีสายตาอยากรู้อยากเห็นลอบมองอยู่
ญี่ปุ่นมีประชากรอาศัยอยู่ราว 120 ล้านคน แต่มีชาวต่างชาติอยู่ไม่ถึง 1 ล้าน 3 แสนคนหรือประมาณ 1% ในจำนวนนั้นราว 6 แสนคนเป็นชาวเกาหลีและชาวจีน ที่ตั้งหลักแหล่งอยู่ในญี่ปุ่นกับครอบครัวมาตั้งแต่ก่อนสมัยสงครามโลกครั้ง ที่ 2 และนั่นก็เป็นเหตุผลเพียงพอแล้วที่จะทำให้ชาวต่างชาติดูเด่นสะดุดตาใน ญี่ปุ่น
       มีบ่อยครั้งที่เด็กญี่ปุ่นจะส่งเสียงตะโกนใส่ชาวต่างชาติว่า " Gaijinda! " (ชาวต่างชาตินี่) แล้ว เข้ามาห้อมล้อมอย่างไม่เกรงใจพร้อมกับจ้องมองด้วยสายตาแปลกๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวต่างชาติที่มีเชื้อสายตะวันตกซึ่งมีรูปร่างหน้าตาแตก ต่างจากชาวญี่ปุ่น ก็จะยิ่งเป็นที่สนใจและตกเป็นเป้าสายตาอยากรู้อยากเห็น แต่ก็มักจะไม่ค่อยเข้าใกล้ คล้ายกับเด็กๆ ที่เล่นซนอยู่ตามชายหาด ที่มักจะเข้ามาจ้องมองสิ่งมีชีวิตแปลก ๆ ที่ถูกคลื่นซัดขึ้นมาอย่างสนอกสนใจ ทั้งที่ความจริงในใจก็ยังกลัว ๆ ดังนั้นหากจะเดินทางมาญี่ปุ่น ชาวต่างชาติคงต้องทำใจไว้เลยว่าตนเองจะต้องถูกจ้องมองและตกเป็นเป้าสายตาของ คนญี่ปุ่น
   ชาวญี่ปุ่นมักจะ ซักถามเรื่องส่วนตัวอย่างหน้าตาเฉย       ชาวญี่ปุ่นมักจะเป็นฝ่ายรอคอยให้ผู้อื่นเข้ามาพูดคุยก่อน
   ชาวญี่ปุ่นมักจะ ใช้สำนวนที่ทำให้คนต่างชาติเข้าใจผิด       การโค้งของชาว ญี่ปุ่นมีหลากหลายความหมาย
   การเปิดกว้างใน เรื่องการแสดงออกทางเพศ       ชาวญี่ปุ่นมักจะ ปฏิบัติตัวตามกฎเกณฑ์อย่างเคร่งครัด
   ศาสนาและการ เมืองไม่ใช่เรื่องต้องห้าม       พื้นฐานทาง วัฒนธรรมของชาวญี่ปุ่น
 
ที่ มา : นี่แหละคนญี่ปุ่น โดย สำนักพิมพ์ภาษาและวัฒนธรรม
 
ชาวญี่ปุ่นมักจะซักถามเรื่องส่วนตัวอย่างหน้าตาเฉย    PDF    พิมพ์    อีเมล

ชาวญี่ปุ่นมักจะซักถามเรื่องส่วนตัวอย่างหน้าตาเฉย

       หากมีชาวญี่ปุ่นเข้ามาคุยกับคุณแล้ว นั่นคงเป็นเพราะเขากำลังเรียนภาษาอังกฤษอยู่จึงได้ให้ความสนใจกับคุณ และเขาคงจะต้องถามคุณแน่ ๆ ว่า "คุณมาจากประเทศอะไร" "คุณมาทำอะไรที่ญี่ปุ่น" "คุณชอบญี่ปุ่นหรือเปล่า" "คุณชอบทานอาหารแบบไหน" "คุณทำอาชีพอะไร" "คุณมีงานอดิเรกอะไร" ฯลฯ โดยไม่ใส่ใจกับท่าทีที่งุนงงของคุณเลย เขาจะถามคำถามคุณราวกับเป็นเจ้าหน้าที่ซีไอเอ กำลังสอบสวนสายลับ ต่อจากนี้ไปไม่ว่าคุณจะย่างกรายไปที่ใด หากมีชาวญี่ปุ่นเข้ามาพูดคุยด้วยแล้วละก็ เตรียมใจไว้ได้เลยว่าคุณจะต้องถูกถามด้วยคำถามประเภทนี้อย่างแน่นอน
สาเหตุนั้นก็เนื่องมาจากการที่ชาวญี่ปุ่นไม่สันทัดภาษาอังกฤษนัก ประกอบกับการที่ชาวญี่ปุ่นไม่ค่อยมีโอกาศพบปะพูดคุยกับชาวต่างชาติ ที่ญี่ปุ่นจะเริ่มเรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่ระดับมัธยมต้น แต่จะเน้นหนักไปทางทักษะการอ่านและการเขียนแทบจะไม่มีวิชาสนทนาเลย อีกทั้งโอกาสที่จะฝึกพูดภาษาอังกฤษก็ไม่มี เพราะรอบข้างไม่มีชาวต่างชาติ ทักษะการพูดจึงไม่พัฒนา        ดังนั้นชาวญี่ปุ่นจึงไม่รู้ว่าควรจะพูดคุยหรือคบหากับชาวต่างชาติ อย่างไร ขณะนี้โรงเรียนสอยสนทนาภาษาอังกฤษกำลังได้รับความนิยมอย่างมากในญี่ปุ่น แม้จะได้ฝึกฝนที่โรงเรียนแต่พวกเขาก็ไม่มีโอกาสได้ใช้ในสถานการณืจริง จึงเป็นเหตุให้พวกเขาต้องเข้ามาพูดคุยกับคุณซึ่งเป็นชาวต่างชาติที่เดินทาง มาญี่ปุ่น
ปัจจุบันชาวญี่ปุ่นที่เคยไปอาศัยอยู่ในต่างประเทศมีเพิ่มมากขึ้น หากมีโอกาสได้พบปะพูดคุยกับคนเหล่านี้ คุณจะตระหนักเองว่ายังมีชาวญี่ปุ่นอีกจำนวนไม่น้อยที่คุยเก่งและยังมีเรื่อง ให้สนทนากันอีกมากมาย
ที่มา : นี่แหละคนญี่ปุ่น โดย สำนักพิมพ์ภาษาและวัฒนธรรม
 
ชาวญี่ปุ่นมักจะใช้สำนวนที่ทำให้คนต่างชาติเข้าใจผิด    PDF    พิมพ์    อีเมล
ชาวญี่ปุ่นมักจะใช้สำนวนที่ทำให้คนต่างชาติเข้าใจผิด


       หากได้มาใช้ชีวิตอยู่ที่ญี่ปุ่น คุณอาจได้พบกับสถานการณ์ที่ทำให้เกิดความงุนงงอยู่หลายครั้งหลายครา ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าขณะที่กำลังจะออกไปข้างนอก แล้วบังเอิญเจอกับคนรู้จักชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ใกล้บ้าน ในเวลาเช่นนี้ ชาวญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อยจะทักขึ้นมาว่า Doko e iku no? (จะไปไหนเหรอ) ซึ่งอาจทำให้คุณรู้สึกไม่พอใจที่อยู่ดีๆ อีกฝ่ายก็เข้ามารุกล้ำความเป็นส่วนตัวของคุณ
ในสถานการณ์เช่นนี้คุณจะตอบกลับไปอย่างไรดี หากเป็นชาวญี่ปุ่นแล้วละก็ ถ้าไม่ต้องการบอก ก็จะตอบกลับไปว่า Chotto soko made (ว่าจะไปแถวนั้นหน่อย) แล้วอีกฝ่ายก็จะเข้าใจและไม่ถามอะไรต่อไปอีก คำถามว่า Dochira e? (จะไปไหน) นั้น พูดกันจริงๆ แล้วเป็นเพียงแค่คำทักทายเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องตอบอะไรจริงจัง หากเป็นแถบคันไซ ในสถานการณ์เดียวกันนี้มักจะทักทายกันโดยใช้สำนวนว่า Moukarimakka? (กำไรดีไหม) แล้วฝ่ายที่ถูกทักก็จะตอบกลับไปว่า Bochi-bochi (ก็เรื่อยๆ)
       เมื่อคุณเริ่มสนิทสนมกับชาวญี่ปุ่นขึ้นบ้างแล้ว เวลาที่คุณจะลากลับบ้าน ชาวญี่ปุ่นคงจะบอกกับคุณว่า ไว้มาเที่ยวอีกนะ เมื่อได้รับเชิญให้มาที่บ้านชาวญี่ปุ่นอีก หัวใจของคุณคงจะพองโตและเฝ้าคอยวันนั้นอย่างใจจดใจจ่อ
แต่ทว่า ไม่ว่าจะรอคอยสักเท่าไร ก็ไม่มีทีท่าว่าอีกฝ่ายจะส่งคำเชิญอย่างเป็นทางการมาสักที ซึ่งหากคุณแวะไปหาเขาอีกครั้งโดยที่ไม่ได้รับเชิญอย่างเป็นทางการ โดยอ้างว่าพอดีมาทำธุระใกล้ ๆ แถวนี้แล้วละก็ อีกฝ่ายคงทำตัวไม่ถูกเป็นแน่ นั่นก็เพราะเขาไม่คิดว่าคุณจะมาจริงๆ ตั้งแต่แรกแล้ว ควรทราบไว้เลยว่าแท้ที่จริงแล้วมันก็เป็นเพียงแค่คำที่ใช้กล่าวลาแขกผู้มา เยือนเท่านั้น หากเขาอยากจะเชิญคุณมาที่บ้านอีกครั้งจริงๆ เขาจะต้องถามถึงวันเวลาที่คุณสะดวกอย่างแน่นอน
ที่มา : นี่แหละคนญี่ปุ่น โดย สำนักพิมพ์ภาษาและวัฒนธรรม
 
การเปิดกว้างในเรื่องการแสดงออกทางเพศ    PDF    พิมพ์    อีเมล

การเปิดกว้างในเรื่องการแสดงออกทางเพศ

       ในปี ค.ศ. 1996 มีชาวญี่ปุ่นเดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศเกือบ 17 ล้านคน แน่นอนว่าบนเครื่องบินที่ออกเดินทางจากญี่ปุ่นไปต่างประเทศนั้น ย่อมจะมีนิตยสารยอดนิยมของญี่ปุ่นวางบริการอยู่ ในปีดังกล่าวสายการบินจำนวนมากได้ประกาศว่าจะไม่นำนิตยสารญี่ปุ่นที่ลงภาพ เปลือยมาวางบริการบนเครื่อง ในญี่ปุ่นรูปถ่ายที่เห็นขนในที่ลับนั้นเคยถูกจัดว่าเป็นรูปลามกอนาจารและจะ ต้องถูกควบคุม แต่ในช่วงระยะหลังมานี้ อาจเป็นเพราะผู้คนเริ่มเปิดใจยอมรับกันมากขึ้นว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติ นิตยสารญี่ปุ่นจึงเริ่มแข่งขันกันนำรูปถ่ายที่เห็นขนในที่ลับมาตีพิมพ์ อีกด้านหนึ่ง การบรรยายถึงเรื่องเพศอย่างโจ๋งครึ่มก็ปรากฎให้เห็นอยู่บ่อยครั้งหน้า หนังสือการ์ตูนที่ปัจจุบันผู้ใหญ่หันมาอ่านกัน ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันขึ้นในหมู่ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทางด้าน การศึกษา        แม้จะอยู่ในขบวนรถไฟที่แน่นขนัดชาวญี่ปุ่นก็ยังอ่านหนังสือการ์ตูน ที่มีเนื้อหารุนแรงทางเพศกันได้อย่างหน้าตาเฉยนอกจากนี้รายการโทรทัศน์ของ ญี่ปุ่นก็ยังมีการเผยแพร่ภาพผู้หญิงเปลีอยอยู่บ่อยครั้งที่ประเทศญี่ปุ่น ในสมัยเอโดะ (ค.ศ.1603 - 1867) ภาพ ukiyo-e ได้รับความนิยมอย่างสูง ในบรรดาภาพเหล่านั้นมีภาพที่แสดงถึงกิจกรรมทางเพศระหว่างชายหญิงอย่างเปิด เผยอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งโจ๋งครึ่มกว่าภาพโป๊เปลือยสมัยนี้มากนักจึงสามารถกล่าวได้ว่าชาวญี่ปุ่น นั้นค่อนข้างจะเปิดกว้างในเรื่องการแสดงออกทางเพศมาตั้งแต่สมัยโบราณ

         ขอเปลี่ยนเรื่องสักนิด ที่ญี่ปุ่นมีบ่อน้ำพุร้อนอยู่ทั่วไปเกือบทุกที่ ที่บ่อน้ำพุร้อนจะมีอ่างสำหรับลงแช่ตัวอยู่มากมายหลายแบบ และมีธรรมเนียมที่ทุกคนจะต้องเปลือยกายลงไปแช่ในอ่าง แม้ในระยะหลังนี้จะมีจำนวนเหลืออยู่น้อยเต็มทีแล้วก็ตาม แต่ในปัจจุบันอ่างที่สามารถลงแช่ร่วมกันได้ทั้งชายและหญิงก็ยังพอมีอยู่ อาจกล่าวได้ว่าการที่ชาวญี่ปุ่นไม่ต่อต้านการแสดงออกในเรื่องเพศนั้นส่วน หนึ่งเป็นเพราะได้รับอิทธิพลมาจากขนบธรรมเนียมแต่โบราณนั่นเอง

 
ที่มา : นี่แหละคนญี่ปุ่น โดย สำนักพิมพ์ภาษาและวัฒนธรรม
 
ศาสนาและการเมืองไม่ใช่เรื่องต้องห้าม    PDF    พิมพ์    อีเมล

ศาสนาและการเมืองไม่ใช่เรื่องต้องห้าม

       90 กว่าเปอร์เซ็นต์ของชาวญี่ปุ่นนั้นนับถือศาสนาพุทธ แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่รูปแบบภายนอกเท่านั้น ในชีวิตประจำวันพวกเขาไม่ได้สักการะบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างที่ชาวคาทอลิก
หรือชาวมุสลิมทำกัน นอกจากพิธีศพและการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ญาติมิตรที่เสียชีวิตไปแล้ว พวกเขาแทบจะไม่ได้ย่างกรายไปที่วัดเลย และแม้ว่าทุกบ้านจะมีหิ้งบูชาวิญญาณบรรพบุรุษตั้งอยู่ก็ตาม แต่คนที่จะหันหน้าไปกราบไหว้ที่หิ้งนั้นมีน้อยมาก สภาพการณ์เช่นนี้ทำให้ชาวญี่ปุ่นสามารถเฉลิมฉลองเทศกาลคริสต์มาสกันได้อย่าง หน้าตาเฉยทั้งๆ ที่ตนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องทางศาสนากับเขาเลย นอกจากนั้นคนส่วนใหญ่ยังจัดพิธีแต่งงานกันในโบสถ์คริสต์ แต่ในทางกลับกันในวันประสูติของพระพุทธเจ้า ชาวญี่ปุ่นกลับไม่ได้ทำอะไรเลย ซ้ำร้ายพวกเขาแทบจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าวันไหนเป็นวันประสูติของพระองค์ ในวันปีหใหม่ชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะไปไหว้พระที่ศาลเจ้า แต่ถึงกระนั้นก็ตามไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะศรัทธาในลัทธิชินโตที่มีมา ตั้งแต่สมัยโบราณ พวกเขารู้สึกแค่เพียงว่าตนเองกำลังเข้าร่วมงานเทศกาลอย่างหนึ่งที่มีมา ตั้งแต่โบราณเท่านั้นเอง โดยพื้นฐานแล้วชาวญี่ปุ่นมีทัศนคติที่เปิดกว้างต่อศาสนาอื่นที่แตกต่างจากตน
       ในเรื่องการเมืองก็เช่นเดียวกันการวิพากษ์วิจารณ์นั้นสามารถทำกันได้ อย่างอิสระเสรี ถึงแม้จะวิพากษ์วิจารณ์นายกรัฐมนตรีก็จะไม่ถูกต่อว่าแต่อย่างใด หนังสือพิมพ์และนิตยสาร
นั้นมักนั้นมักจะตีพิมพ์บทความวิพากษ์วิจารณ์นักการเมืองกันอยู่เนืองๆ แต่นักการเมืองที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์เหล่านั้น ส่วนใหญ่ต่างก็เพิกเฉยไม่ได้โต้ตอบกลับไปแต่อย่างใด ที่ญี่ปุ่นนั้นจะไม่ใช้วิธีกดดันทางการเมืองเพื่อปิดกั้นเสรีภาพในการแสดง ความคิดเห็นแต่ก็มีกรณียก เว้นเช่นกัน การวิพากษ์วิจารณ์องค์สมเด็จพระจักรพรรดินั้นไม่สามารถทำกันได้ง่ายๆ แม้ปัจจุบันองค์จักรพรรดิจะทรงไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการเมืองทรงเป็นผู้ส่ง เสริมสันติภาพและอยู่ในฐานะสัญลักษณ์ของประชาชนชาวญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ถึงกระนั้นก็ตามพระองค์ก็ทรงอยู่ในฐานะที่ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งจะล่วงละเมิด มิได้หากกระทำการใดๆ ที่ละเมิดข้อห้ามนี้แล้ว สำนักพิมพ์ดังกล่าวก็อาจจะได้รับอันตรายจากกลุ่มผู้รักชาติหัวรุนแรงได้
ที่มา : นี่แหละคนญี่ปุ่น โดย สำนักพิมพ์ภาษาและวัฒนธรรม

mr_a

  • Guest
 ชาวญี่ปุ่นมักจะเป็นฝ่ายรอคอยให้ผู้อื่นเข้ามาพูดคุยก่อน

       มักจะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากชาวต่างชาติอยู่บ่อยๆ ว่า แม้จะเป็นการประชุมระหว่างประเทศก็ตาม แต่ชาวญี่ปุ่นก็ไม่ค่อยจะยอมแสดงความคิดเห็น ทำให้ไม่รู้ว่าชาวญี่ปุ่นนั้นกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ สาเหตุส่วนใหญ่ของกรณีดังกล่าวน่าจะมาจากการที่ชาวญี่ปุ่นอยู่ในประเทศไม่ ค่อยมีโอกาสพบปะพูดคุยกับชาวต่างชาติบ่อยนัก จึงทำให้ไม่คุ้นเคย แต่อีกด้านหนึ่งก็อาจกล่าวได้ว่าเป็นอิทธิพลของวัฒนธรรมญี่ปุ่นเองที่ถือว่า การพูดน้อยนั้นเป็นจริยธรรมอันดีงาม
       โดยพื้นฐานแล้ว ชาวญี่ปุ่นเป็นคนขี้อายไม่ถนัดที่จะกระตือรือร้นเข้าไปพูดคุยกับใครก่อน ซึ่งสาเหตุน่าจะมาจากการที่ประเทศญี่ปุ่นประกอบด้วยชนชาติเดียว ทุกคนพูดภาษาเดียวกัน และเติบโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมที่ไม่ต้องอธิบายเรื่องต่างๆ โดยละเอียดก็เข้าใจซึ่งกันและกันได้เป็นอย่างดี จึงทำให้พวกเขาไม่ค่อยมีโอกาศได้พบปะพูดคุยกับคนที่มีค่านิยมแบบอื่นซึ่ง เติบโตขึ้นในสภาพแวดล้อมี่แตกต่างออกไป  แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าชาวญี่ปุ่นไม่อยากที่จะติดต่อสื่อสารกับชาวต่าง ชาติความต้องการนั้นซ่อนอยู่ภายในส่วนลึกของจิตใจ เพียงแต่พวกเขาไม่ถนัดที่จะเป็นผู้เริ่ม ชาวญี่ปุ่นมักจะคิดกังวลไปก่อนว่า หากเข้าไปพูดคุยด้วยแล้วเกิดคุยกันไม่รู้เรื่องจะทำอย่างไร หรือคนรอบข้างจะหัวเราะเมื่อได้ยินภาษาอังกฤษงูๆ ปลาๆ ของเขาหรือไม่ โดยส่วนลึกแล้วชาวญี่ปุ่นเป็นชนชาติที่มีความภาคภูมิใจในตนเองสูง ดังนั้นพวกเขาจึงมักเลิกล้มความตั้งใจที่จะเข้าไปพูดคุยก่อนเสียดื้อๆ
ดังนั้นหากคุณอยากมีเพื่อนชาวญี่ปุ่นแล้วละก็ จงกระตือรือร้นที่จะเข้าไปพูดคุยกับเขาก่อน รับรองได้เลยว่าเขาจะต้องตอบกลับมาอย่างเป็นมิตรแน่นอน แล้วพวกคุณอาจจะกลายเป็นเพื่อนกันทันทีเลยก็ได้
ที่มา : นี่แหละคนญี่ปุ่น โดย สำนักพิมพ์ภาษาและวัฒนธรรม
 
การโค้งของชาวญี่ปุ่นมีหลากหลายความหมาย    PDF    พิมพ์    อีเมล

การโค้งของชาวญี่ปุ่นมีหลากหลายความหมาย

       ชาวต่างชาติมักจะร่ำลือกันว่าไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรชาวญี่ปุ่นก็มัก จะเอาแต่โค้งจะว่าไปแล้วมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ก่อนอื่นชาวญี่ปุ่นจะโค้งเวลาที่พบกันซึ่งถือเป็นการทักทายเช่นเดียวกับ การจับมือแบบชาวตะวันตก แต่เนื่องจากการโค้งนั้นกระทำทั้งตอนที่พบและจากกันจึงทำให้ดูสะดุดตาเป็น พิเศษ
เวลาที่ได้รับของขวัญของกำนัล ได้รับความช่วยเหลือเกื้อกูล หรือเวลาที่ต้องแสดงความรู้สึกขอบคุณ ชาวญี่ปุ่นก็จะโค้งด้วยเช่นเดียวกัน คุณเองก็น่าจะเคยประสบกับเหตุการณ์ที่ถูกพนักงานในร้านโค้งให้พร้อมกับส่ง เสียงว่า Irasshai (ยินดีต้อนรับ) และ Arigatou gozaimashita (ขอบพระคุณมาก) อยู่บ่อย ๆ เวลาเข้าและออกจากร้านค้าหรือร้านอาหาร
       นอกจากนี้ ชาวญี่ปุ่นจะโค้งตัวลงพร้อม ๆ กับพูดว่า Sumimasen (ขอโทษ) เวลากล่าวคำขอโทษ หรือพูดว่า Onegaishimasu (ขอความกรุณา) เวลาที่จะขอร้องให้ใครทำอะไรให้ ในกรณีดังกล่าวหากเป็นเรื่องที่สำคัญหรืออีกฝ่ายเป็นผู้ที่มีสถานะทางสังคม กว่า โดยทั่วไปจะไม่โค้งเพียงครั้งเดียวแต่จะต้องโค้งหลายครั้งและก้มหัวให้ต่ำ มากๆ ดังที่กล่าวมาข้างต้น ชาวญี่ปุ่นนั้นมักจะต้องโค้งหลายครั้งและก้มหัวให้ต่ำมากๆ ดังที่กล่าวมาข้างต้น ชาวญี่ปุ่นนั้นมักจะโค้งกันในหลากหลายสถานการณ์ ดังนั้นจึงอาจดูเป็นเรื่องแปลกในสายตาชาวต่างชาติ เช่นเดียวกับการโค้ง ชาวญี่ปุ่นนั้นใช้คำว่า Sumimasen ในหลากหลายสถานการณ์ด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งคงจะทำให้ชาวต่างชาติสับสนเป็นแน่ คำว่า Sumimasen นั้นมีวิธีการใช้ที่ยุ่งยากซับซ้อน แม้โดยหลักๆ แล้วคำนี้จะใช้เป็นคำขอโทษแต่ชาวญี่ปุ่นก็ใช้คำนี้ในความหมายว่า Arigatou (ขอบคุณ) ด้วยเช่นกัน เวลาที่ต้องการแสดงความรู้สึกขอบคุณซี่งเป็นคนละเรื่องกับการขอโทษ ในการคบหาสมาคมกับชาวญี่ปุ่นนั้นการโค้งเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ ไม่ว่าเรื่องอะไรขอให้โค้งไว้ก่อนจะไม่เป็นการเสียมารยาท นอกจากนี้หากในเวลานั้นนึกคำพูดที่เหมาะสมไม่ออกแค่พูดคำว่า Doumo ก็เพียงพอแล้ว คำนี้เป็นคำเอนกประสงค์สามารถใช้ได้ในเกือบทุกสถานการณ์
ที่มา : นี่แหละคนญี่ปุ่น โดย สำนักพิมพ์ภาษาและวัฒนธรรม
 
ชาวญี่ปุ่นมักจะปฏิบัติตัวตามกฎเกณฑ์อย่างเคร่งครัด    PDF    พิมพ์    อีเมล

ชาวญี่ปุ่นมักจะปฏิบัติตัวตามกฎเกณฑ์อย่างเคร่งครัด

       สมมติว่าคุณเข้าไปในคอฟฟี่ช็อปแล้วเกิดอยากที่จะดื่มกาแฟโอเล แต่มันไม่มีอยู่ในเมนู แม้จะขอให้ทางร้านทำให้เพราะมีกาแฟกับนมอยู่ แต่คุณคงจะได้รับการปฏิเสธว่าทำให้ไม่ได้
ในสายตาของชาวต่างชาตินั้นชาวญี่ปุ่นคงจะเป็นชนชาติที่ช่างไม่มีความ ยืดหยุ่นเอาเสียเลย
        เมื่อสัญญาณไฟคนข้ามเป็นสีแดงจะต้องหยุดรอ เมื่อสัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียวแล้วถึงจะข้ามได้ ซึ่งกฎนี้จะเหมือนกันหมดทั่วโลก แต่ก็มีอยู่หลายประเทศที่ถึงแม้สัญญาณไฟคนข้ามจะเป็นสีแดง แต่ถ้ารถไม่มาก็มักจะเดินข้ามกันอย่างหน้าตาเฉย จริงอยู่ที่หากไม่มีรถผ่านมามันก็ไม่มีอันตรายใดๆ แต่ถึงกระนั้นก็ตามชาวญี่ปุ่นก็ยังข้ามถนนตามสัญญาณไฟอยู่ดี
แม้ชาวญี่ปุ่นจะปฎิบัติตัวตามกฎเกณฑ์ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น แต่พอมาอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม พฤติกรรมก็อาจเปลี่ยนแปลงไปได้ ตัวอย่างเช่น เวลาที่ไม่มีรถผ่านมาหากมีใครสักคน
เดินข้ามถนนแล้วละก็ คนจำนวนมากมักจะเดินข้ามตาม ถึงขนาดอยู่ยุคหนึ่งมุขตลกร้ายที่ว่า "ถึงสัญญาณไฟแดง แต่ถ้าทุกคนข้ามด้วยกันก็ไม่น่ากลัว" นั้นฮิตไปทั่ว
       อีกด้านหนึ่งชาวญี่ปุ่นก็เป็นคนที่ขาดความรับผิดชอบต่อสาธารณะสมบัติ กับเขาด้วยเหมือนกัน อย่างการทิ้งกระป๋องน้ำและก้นบุหรี่ลงบนพื้นถนนหรือยืนปัสสาวะตามข้างทางตรง ที่
ไม่ค่อยมีคนสัญจรผ่าน แต่ส่วนใหญ่แล้วชาวญี่ปุ่นนั้นจะปฎิบัติตามกฎเกณฑ์อย่างเคร่งครัดคุณลักษณะ ที่เคารพกฎเกณฑ์ของชาวญี่ปุ่นนั้นจะแสดงออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัดที่สุดใน การทำงาน ชาวญี่ปุ่นที่มาทำงานสาย กลับบ้านเร็ว หรือโดดงานนั้นมีอยู่น้อยมาก นอกจากนี้ชาวญี่ปุ่นยังสามารถปฎิบัติงานตามขั้นตอนการทำงานที่ถูกกำหนดไว้ ได้เป็นอย่างดี สำหรับบริษัทญี่ปุ่นแล้วคุณลักษณะของชาวญี่ปุ่นที่ปฏิบัติตัวตามกฎระเบียบ เช่นนี้นั้น เปรียบเสมือนอาวุธอันทรงอานุภาพที่จะช่วยให้พวกเขาเอาชนะประเทศอื่นได้ใน สมรภูมิการค้าระหว่างประเทศ
ที่มา : นี่แหละคนญี่ปุ่น โดย สำนักพิมพ์ภาษาและวัฒนธรรม
 
พื้นฐานทางวัฒนธรรมที่มีผลต่อวิถีทางในการติดต่อสื่อสารกับชาวญี่ปุ่น    PDF    พิมพ์    อีเมล

พื้นฐานทางวัฒนธรรมที่มีผลต่อวิถีทางในการติดต่อสื่อสารกับชาว ญี่ปุ่น

เน้นการทำงานเป็นกลุ่ม

       ในสังคมญี่ปุ่น แต่ละคนจะมีเอกลักษณ์จากการเข้าร่วมกลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มครอบครัว โรงเรียน และบริษัท ในญี่ปุ่นนักธุรกิจมักจะแนะนำชื่อบริษัทที่ตนทำงานก่อนชื่อของตน
เองในการพบกันครั้งแรกในประเทศที่มีขนาดเท่ารัฐแคลิฟอร์เนีย แต่มีจำนวนประชากรเท่ารัสเซียนั้น การรักษาความสัมพันธ์ระหว่างกันถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งต่อการมีชีวิต รอด เนื่องจากไม่มี มุมพิเศษ
ไว้สำหรับหลบพักเวลามีเรื่องกับเพื่อนบ้าน คนญี่ปุ่นจึงต้องรู้จักข่มความรู้สึกภายในเพื่อรักษาความปรกองดอง และระเบียบสังคม
คนญี่ปุ่นไม่นิยมแสดงอารมณ์โดยเฉพาะอารมณ์ด้านลบออกมาอย่างเปิดเผย ไม่ได้หมายความว่าจะปิดกั้นความคิดเห็นของตนเองแต่คนญี่ปุ่นจะใช้วิธีหารือ และแก้ไขปัญหา
ระหว่างกันทางอ้อมแบบตัวต่อตัว ซึ่งไม่ใช่วิธีถกกันที่สาธารณะ เผชิญหน้ากัน หรือทำให้เสียหน้านิสัยอ่อนน้อมยอมตาม

การ แบ่งระดับชั้นในสังคม

ที่มาของการแบ่งระดับชั้นในสังคม
ในวัฒนธรรมที่เน้นความสัมพันธ์แบบรวมกลุ่มเช่นญี่ปุ่นนั้นการเคารพและรักษา ความสัมพันธ์ตามระดับชั้นถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งในสังคมและธุรกิจ ระดับชั้นในสังคมตาม
วัฒนธรรมของญี่ปุ่นมาจากความเชื่อในสัทธิขงจื้อว่าทุกคนในสังคมถูกกำหนดให้ อยู่ในระดับชั้นที่แตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น ผู้ซื้อ (อยู่ในระดับชั้นที่สูงกว่า) และผู้ขาย(อยู่ในระดับที่ต่ำกว่า)
สังคมจะมีความมั่นคงก็ต่อเมื่อทุกคนรักษาสัมพันธภาพตามระดับชั้นที่เหมาะสม ไว้

ความสัมพันธ์ตามระดับชั้น

       สัมพันธภาพระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายเป็นความสัมพันธ์ตามระดับชั้น อย่างหนึ่งในวัฒนธรรมการดำเนินธุรกิจของญี่ปุ่น สำหรับความสัมพันธ์แบบอื่นๆ นั้นประกอบไปด้วยความ
สัมพันธ์ระหว่างบริษัทแม่กับบริษัทลูก สำนักงานใหญ่กับสำนักงานสาขา ผู้จัดการกับผู้ใต้บังคับบัญชา พนักงานที่มีอาวุธโสสูง (ผู้ที่เข้าทำงานก่อน) กับพนักงานที่อ่อนอาวุโส ซึ่งแต่ละฝ่ายจะคาด
หวังจากอีกฝ่ายแตกต่างกัน เช่น ผู้จัดการควรจะต้องกังวลเรื่องสวัสดิภาพของผู้ใต้บังคับบัญชา จนถึงขนาดที่ต้องให้ความช่วยเหลือในเรื่องส่วนตัว ในทางกลับกันผู้ใต้บังคับบัญชาก็จะต้องเชื่อมั่น
ในวิจารณญาณของผู้จัดการ โดยไม่มีกาตั้งคำถามแสดงความเคลือบแคลงในสิ่งที่ได้ตัดสินใจไปแล้ว และอาจเกิดปัญหาขึ้นในที่ทำงานได้หากไม่มีการคาดหวังจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง มีคนรุ่นใหม่
จำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ที่ให้ความสำคัญกับความเป็นตัวของตัวเอง และชอบแยกชีวิตส่วนตัวออกจากงานและนายจ้าง

ระบบ อาวุโส

       ตัวอย่างของการแบ่งระดับชั้นในธุรกิจของญี่ปุ่นที่เห็นได้ชัดคือ ระบบอาวุโส ซึ่งตามธรรมเนียมแล้วจะใช้เป็นเกณฑ์สำคัญในการเลื่อนตำแหน่ง (แม้ในปัจจุบันจะมีการเปลี่ยนจาก
ระบบอาวุโสไปใช้ระบบความดีความชอบแทน) ตัวอย่างเช่น ในการเจรจาระหว่างบริษัท 2 แห่ง คนญี่ปุ่นคาดว่าแต่ละฝ่ายจะต้องส่งคนที่มีอายุอานามและตำแหน่งใกล้เคียงกัน มาพูดคุย ความ
คาดหวังซึ่งเกิดจากความเชื่อในเรื่องระดับชั้นนี้ อาจทำให้ยากกับฝ่ายญี่ปุ่นที่ต้องเจรจากันอย่างเท่าเทียมกับผู้ที่เด็กกว่า หรือแก่กว่า

รูปแบบและพิธีการ

       แม้ว่าคนญี่ปุ่นสมัยใหม่จำนวนมากไม่ได้ตระหนักถึงมรดกทางศาสนา แต่ศาสนาชินโต ก็เป็นต้นกำเนิดของพิธีกรรมต่างๆ ซึ่งสืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบัน ชินโตเป็นที่มาของแนว
คิดเรื่อง kata หรือรูปแบบ คือวิธีที่ถูกต้องในการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งผู้เรียนศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัว เช่น คาราเต้ จะต้องฝึก kata (รูปแบบพี้นฐาน) ซ้ำแล้วซ้ำอีก จนสำเร็จก่อนจึงจะปล่อยหมัดได้
       ในธุรกิจเราจะเห็นความสำคัญของรูปแบบได้จากการใส่ใจกับขั้นตอนที่ถูก ต้องเมื่อคนญี่ปุ่นแลกนามบัตรกัน วิธีที่ได้อธิบายไปแล้วนั้นเป็นผลมาจากประเพณีและประสบการณ์อัน
ยาวนาน จึงเป็นสิ่งที่จะต้องทำจนชำนาญ เมื่อสมาชิกทุกคนในสังคมเข้าใจและปฎิบัติตาม kata แล้ว ก็จะไม่เกิดความเคลือบแคลงขึ้น
       ความเข้าใจร่วมกันในเรื่องนี้เกิดปรวนแปรเมื่อคนญี่ปุ่นต้องมี ปฎิสัมพันธ์กับคนนอกวัฒนธรรม ตัวอย่างเช่น คนงานในเอเชียอาคเนย์จะรู้สึกหงุดหงิดเมื่อหัวหน้าชาวญี่ปุ่นว่า ทำ
อย่างนี้ โดยไม่อธิบายว่าทำไมวิธีที่บอกนั้นจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด ถ้ามีคนถามหัวหน้าชาวญี่ปุ่นคนนั้นอาจจะตอบว่า เพราะผมมีประสบการณ์มา 30 ปี และบอกให้คุณทำอย่างนี้
       นักธุรกิจชาวต่างประเทศที่เน้นผลงานเป็นหลักมักจุงุนงงกับคนญี่ปุ่น ที่เน้นเรื่องรูปแบบและขบวนการ นักธุรกิจในภาคอุตสาหกรรมเสื้อผ้าชาวอินโดนีเซียยกตัวอย่างสินค้าที่ลูกค้า
ญี่ปุ่นส่งคืนเพียงเพราะรอยยับเพียงรอยเดียว ผู้จัดการโรงงานชาวอเมริกันซึ่งหงุดหงิดกับลูกค้าญี่ปุ่นที่ไม่ยอมรับสินค้า เซมิคอนดักเตอร์ที่มีร่องรอยตกแต่งส่วนที่ชำรุดบนกล่องถึงกับบอกว่า ถ้า
มันใช้งานได้แล้วจะมีปัญหาอะไร ร่องรอยดังกล่าวในสายตาของชาวญี่ปุ่นเป็นสัญญาณแสดงให้เห็นถึงข้อบกพร่องใน ขบวนการ ซึ่งในทางกลับกันบ่งบอกให้รู้ว่าคุณภาพโดยรวมของสินค้าอาจ
จะต่ำ



ที่มา : นี่แหละคนญี่ปุ่น โดย สำนักพิมพ์ภาษาและวัฒนธรรม
 
ภาษาญี่ปุ่น    PDF    พิมพ์    อีเมล

ตัวอักษรภาษาญี่ปุ่น

ตัวอักษรในภาษาญี่ปุ่นทั้งหมดจะแบ่งออกได้ทั้งหมด คือ

1. ตัวอักษร ฮิรางานะ (Hiragana) เป็นตัวอักษรที่ใช้ในคำทั่วๆไป โดยส่วนใหญ่จะใช้เป็นเสียงที่ใช้อ่านตัวคันจิและใช่เป็นคำช่วยเพื่อให้ ประโยคสมบูรณ์ขึ้น โดยมีตัวอักษรหลักทั้งหมด 46 ตัวอักษร

นอก จากนี้ยังมี อีก 25 ตัวที่เพิ่มขึ้นมา โดยการใส่ tenten (สัญลักษณ์อยู่ข้างบนด้านขวามีที่มีลักษณะ 2 ขีด) และmaru (สัญลักษณ์อยู่ข้างบนด้านขวามีลักษณะเป็นวงกลม)

และสุดท้ายเป็นอักษรผสม ซึ่งมีอีก 33 ตัว

ดู แล้วเพียงแค่ตัวอักษรฮิรางานะ ยังเยอะขนาดนี้ อาจจะคิดว่ายากแต่จริงแล้วหลักของการจำอยู่ที่สระ
あ い う え お หรือ อะ อิ อุ เอะ โอะ ซึ่งทั้ง 5 ตัวนี้เป็นสระในภาษาญี่ปุ่น พอนำไปผสมกับตัวอื่นๆ ในวรรค เช่น วรรคตัว K(か) ก็จะทำให้การอ่านออกเสียงในวรรคนั้น ต้องตามเสียงสระ กลายเป็น か き く けこ คะ คิ คุ เคะ โคะ (ka ki ku ke ko)

 

ที่ มา :  http://www.ohayo-japan.com
 
เมื่อเดินทางมาถึงญี่ปุ่น จากสนามบินนาริตะ (Narita Airport)    PDF    พิมพ์    อีเมล

เมื่อเดินทางมาถึงญี่ปุ่น จากสนามบินนาริตะ (Narita Airport)

       ค่า แท็กซี่จากนาริตะไปย่านใจกลางเมืองโตเกียวราว 20,000 - 30,000 เยน ซึ่งแล้วแต่จุดหมายปลายทางและสภาพการจราจร คนส่วนใหญ่ชอบนั่งรถโดยสารหรือรถไฟ เนื่องจากราคา
ถูกกว่ากันถึง 1 ใน 10 เท่า ซึ่งถ้าหากขับรถวิ่งมาตามถนนจะใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง
   วิธีการเดิน ทางในญี่ปุ่น

การดำเนินการเรื่องต่างๆ เมื่อมาถึงญี่ปุ่น
เดือนเมษายนเป็นฤดูกาลของการเข้าเรียนและเข้าทำงาน ผู้คนส่วนใหญ่จะเริ่มต้นกับสิ่งใหม่ ๆ ตามความหวังและความฝันของตน เป็นธรรมดาที่ในช่วงนี้มีคนจำนวนมากเดินทางมาเริ่มต้นชีวิตในรูปแบบใหม่ ญี่ปุ่นเช่นกัน แล้วเมื่อมาถึงญี่ปุ่นจะต้องทำอะไรเป็นอันดับแรกล่ะ อย่างน้อยที่สุดต้องทำอะไรบ้าง เรามาดูสิ่งที่จะต้องทำที่ละขั้นตอนกรณีเข้าอยู่ในอพาร์ตเมนท์แล้วกันเถอะ
   การปฏิบัติทาง ด้านกฎหมายเมื่อมาถึงญี่ปุ่น       การ ใช้บริการธนาคาร

 
ที่มา : กินอยู่อย่างไรในญี่ปุ่น โดย สมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี(ไทย-ญี่ปุ่น)

mr_a

  • Guest
ารปฏิบัติทางด้านกฎหมายเมื่อมาถึงญี่ปุ่น

ขั้น ตอนด้านกฎหมาย
   
เมื่อมา ถึงญี่ปุ่น    ทำบัตรประจำตัวคนต่างชาติ (ภายใน 90 วัน นับจากวันที่มาถึงญี่ปุ่น ณ ที่ว่าการเขต)
เมื่อ อยู่ครบ 6 เดือน    ยื่นใบคำร้องขอต่ออายุ วีซ่า (ที่สำนักกองครวจคนเข้าเมือง)
ทำบัตรประจำตัวคนต่างชาติ (ภายใน 14 วัน หลังต่ออายุวีซ่าแล้ว ณ ที่ว่าการเขตหรือเทศบาล)
กรณีที่เรียนต่อ    ยื่นใบคำร้องขอเปลี่ยประเภทวีซ่า (ที่สำนักกองตรวจคนเข้าเมือง)
ยื่นใบคำร้องขอต่อวีซ่า (ที่สำนักกองตรวจคนเข้าเมือง)
ทำบัตรประจำตัวคนต่างชาติใหม่ (ภายใน 14 วัน หลังเปลี่ยนหรือต่อวีซ่าแล้ว ณ ที่ว่าการเขตหรือเทศบาล)
กรณีจะทำ งานพิเศษ    ยิ่นใบคำร้องขออนุญาตทำงานพิเศษ (ที่สำนักกองตรวจคนเข้าเมือง)
กรณีย้ายที่อยู่    ทำบัตรประจำตัวสำหรับคนต่างชาติใหม่ (ภายใน 14 วันหลังย้ายที่อยู่ ณ ที่ว่าการเขตหรือเทศบาล)
กรณีขอกลับประเทศชั่ว คราว    ยื่นใบคำร้องขอเข้าเมืองใหม่ (ที่สำนักกองตรวจคนเข้าเมือง)
กรณีจะทำงาน    

ยื่นใบคำร้องขอเปลี่ยนประเภทวีซ่า (ที่สำนักกองตรวจคนเข้าเมือง)
ยื่นใบคำร้องขอต่อวีซ่า (ที่สำนักกองตรวจคนเข้าเมือง)
ทำบัตรประจำตัวคนต่างชาติใหม่ (ภายใน 14 วันหลังย้ายที่อยู่ ณ ที่ว่าการเขตหรือเทศบาล)
กรณีจะกลับประเทศ    คืนบัตรประจำตัวคนต่างชาติ (ที่สนามบินหรือท่าเรือที่จะเดินทางออกญี่ปุ่น)

การ ดำเนินการขอลงทะเบียนคนต่างชาติ
       คนต่างชาติที่พำนักในญี่ปุ่นเกิน 90 วัน จะต้องลงทะเบียนคนต่างชาติ เมื่อลงทะเบียนเรียบร้อยแล้วที่ว่าการเขตจะออกบัตรประจำตัวคนต่างชาติรับรอง การลงทะเบียนให้ บัตรประจำตัวคนต่างชาตินี้เป็นเอกสารที่จำเป็นต้องให้ชในโอกาสต่างๆและถือ เป็นหน้าที่ที่จะต้องพกติดตัวตลอดเวลา
การลงทะเบียนคนตางชาติ จะทำ ณ ที่ว่าการเขตที่เราอาศัยอยู่

การ ลงทะเบียนครั้งแรกเมื่อมาถึงญี่ปุ่น
       ระยะเวลาที่ต้องยื่นคำร้อง-ภายใน 90 วัน นับจากวันที่มาถึง สิ่งที่ต้องนำไป - พาสปอร์ตและรูป 2 ใบ บัตรจะเสร็จหลังจากที่ยื่นเรื่องประมาณ 2 สัปดาห์ ในการรับบัตรต้องนำพาสปอร์ตไปแสดงด้วย

การ ต่ออายุบัตรประจำตัวคนต่างชาติ
       ช่องสีแดงในบัตรประจำตัวคนต่างชาติ จะบอกระยะเวลาที่ต้องต่ออายุบัตรไว้ เมื่อถือช่วงนั้นจะต้องยื่นเรื่อง เพื่อขอต่ออายุบัตรระยะเวลาที่ต้องยื่นเรื่อง - ภายในระยะเวลาเขียนไว้บนบัตร สิ่งที่ต้องนำไป - บัตรประจำตัวคนต่างชาติ พาสปอร์ดและรูป 2 ใบ
** รูปถ่าย ** ขนาด 4.5 x 3.5 ซม. รูปเดี่ยว ถ่ายหน้าตรง ไม่สวมหมวก และเป็นรูปที่ถ่ายไว้ไม่เกิน 6 เดือน เป็นรุปที่ชัด จะเป็นสีหรือขาวดำก็ได้ เราสามารถถ่ายรูปที่กองตรวจคนเข้าเมือง หรือสำนักงานสาขาของกองตรวจคนเข้าเมืองได้ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ

การเปลี่ยนประเภทหรือต่ออายุวีซ่า
       เมื่อได้รับอนุญาตให้เปลี่ยนประเภท หรือต่ออายุวีซ่าจากสำนักกองตรวจคนเข้าเมืองจะต้องแจ้งต่อที่ว่าการเขต ระยะเวลา - ภายใน 14 วันหลังได้รับอนุญาตจากสำนักกองตรวจคนเข้าเมือง สิ่งที่ต้องนำไป - พาสปอร์ตหรือใบรับรองจากสำนักกองตรวจคนเข้าเมือง สิ่งที่ต้องนำไป - พาสปอร์ตหรือใบรับรองจากสำนักกองตรวจคนเข้าเมือง บัตรประจำตัวคนต่างชาติ

เมื่อข้อมูลที่ ให้ไว้ในการลงทะเบียนคนต่างชาติมีการเปลี่ยนแปลง
เมื่อเปลี่ยนแปลงที่อยู่
       แจ้งต่อที่ว่าการเขตของที่อยู่ใหม่ แม้ว่าที่อยู่ใหม่จะอยู่ในเขตเดิม ก็ต้องแจ้งเช่นกัน ระยะเวลา-ภายใน 14 วันหลังย้ายเข้าที่อยู่ใหม่สิ่งที่ต้องนำไป-บัตรประจำตัวคนต่างชาติ
เมื่อเปลี่ยนอาชีพหรือเปลี่ยนที่ทำงาน
ระยะเวลา-ภายใน 14 วันหลังเปลี่ยนอาชีพหรือเปลี่ยนที่ทำงาน สิ่งที่ต้องนำไป - ใบรับรองจากบริษัทใหม่ซึ่งระบุชื่อและที่อยู่ของบริษัทใหม่ไว้ด้วยและบัตร ประจำตัวคนต่างชาติ
นอกจากนี้หากมีการเปลี่ยนชื่อหรือที่อยู่ในประเทศของตน หรือเมื่อได้รับพาสปอร์ตเล่มใหม่ก็ต้องแจ้งการเปลี่ยนแปลง ณ ที่ว่าการเขตด้วยเพื่อเปลี่ยนข้อมูลที่ให้ไว้

เมื่อ ต้องการหนังสือรับรองการลงทะเบียนคนต่างชาติ
       หนังสือรับรองการลงทะเบียนคนต่างชาติเป็นหนังสือแสดงรายละเอียดที่ลง ทะเบียนเอาไว้ บางครั้งอาจต้องใช้ยื่นแสดงต่อสถานศึกษาหรือสำนักกองตรวจคนเข้าเมือง สิ่งที่ต้องใช้ในการขอ - บัตรลงทะเบียนคนต่างชาติ ในกรณีที่ให้ผู้อื่นไปทำเรื่องแทน ผู้ที่ไปทำเรื่องแทนต้องนำใบมอบฉันทะและบัตรแสดงตนของผู้ขอไปด้วย ค่าธรรมเนียม - ฉบับละ 200 เยน

เมื่อจะ ออกนอกประเทศ
       เมื่อจะออกจากประเทศญี่ปุ่นจะต้องคืนบัตรประจำตัวคนต่างชาติที่สนาม บินหรือท่าเรือที่จะออก แต่กรณีที่จะออกไปชั่วคราวแล้วจะกลับเข้ามาใหม่ให้นำติดตัวไปด้วยแต่กรณีนี้ จะ
ต้องไม่ลืมทำเรื่องขอกลับเข้ามาใหม่ (Re-entry) ก่อนเดินทาง

ข้อปฎิบัติเรื่องวีซ่า
การขอต่ออายุวีซ่า
       เมื่อประสงค์จะอยู่ญี่ปุ่นต่อระยะเวลายื่นเรื่อง - ก่อนวันที่วีซ่าหมดอายุเดือน 2 จนถึงวันหมดอายุ ค่าธรรมเนียม 4000 เยน

การขอเปลี่ยนประเภทวีซ่า
       คือการยื่นเรื่องขอเปลี่ยนจุดประสงค์ในการพำนักที่ญี่ปุ่น เช่น เรียนต่อ หรือทำงาน เป็นต้น ค่าธรรมเนียม 4000 เยน

การ ขอทำงานพิเศษ
       คือการขื่นเรื่องขอทำกิจกรรมเสริมนอกเหนือจากกิจกรรมที่ขอไว้ในวีซ่า เพื่อหารายได้พิเศษ เช่น การที่นักเรียนต่างชาติทำงานพิเศษ ค่าธรรมเนียม ฟรี

การยื่นขอเข้าประเทศอีก ครั้ง(Re-entry)
       คือการยื่นเรื่องขอออกจากประเทศญี่ปุ่นชั่วคราวแล้วกลับเข้ามาใหม่ หากไม่ยื่นเรื่องไว้ก่อนออกจากญี่ปุ่น จะต้องทำเรื่องเข้าประเทศใหม่ตั้งแต่เริ่มแรกอีกครั้ง จึงต้องระวังให้ดี ค่าธรรมเนียม - เข้าออกปีละ 1 ครั้ง 3000 เยน ปีละหลายครั้ง 6000 เยน เอกสารที่ต้องใช้ในการยื่นเรื่อง ได้แก่ พาสปอร์ต บัตรประจำตัวคนต่างชาติ เป็นต้น แต่เอกสารที่จำเป็นจะแตกต่างกันไปตามประเภทของวีซ่า ดังนั้นควรสอบถามที่สำนักกองตรวจคนเข้าเมือง
เสียก่อน
ที่มา : หน้าต่างสู่โลกกว้างญี่ปุ่น โดย บริษัท สำนักพิมพ์หน้าต่างสู่โลกกว้าง จำกัด

 
 
วิธีการใช้เครื่อง ATM ในญี่ปุ่น    PDF    พิมพ์    อีเมล

วิธีการใช้เครื่อง ATM

            หลาย ๆ ท่านคงสงสัย และ อยากรู้ว่า ถ้าเรามีบัตรเอทีเอ็ม ( ATM ) เราจะใช้อย่างไร? ยากไหม?  ความจริงแล้วตู้เอทีเอ็มส่วนมากจะมีเมนูที่เป็นภาษาอังกฤษอยู่  ดังนั้นเวลาใช้ ให้เลือกเมนูเป็นภาษาอังกฤษ การใช้งานก็คล้ายๆ บ้านเรา แต่ ตอนแรกให้กดเลือกภาษา และ ถอนเงินก่อน จึงค่อยนำบัตรเอทีเอ็มเข้าที่เครื่องถอน แล้วจึงกดรหัสลับ  จำนวนเงิน และขั้นตอนรับเงิน รวมทั้งสลิป เก็บไว้เป็นหลักฐาน  (เป็นบางธนาคาร โปรดศึกษารายละเอียดของแต่ละธนาคารให้แน่ใจอีกครั้ง ) เอทีเอ็มที่ญี่ปุ่น ในบางสาขาสามารถถอนเหรียญออกมาได้ด้วย
Tags วิธี การใช้เครื่อง ATM - japan
อ่านเพิ่มเติม... [วิธีการใช้เครื่อง ATM ในญี่ปุ่น]
 
อาหารญี่ปุ่น    PDF    พิมพ์    อีเมล

อาหารญี่ปุ่น   

ปลาซาบะย่างซีอิ๊ว    
    อาหาร ญี่ปุ่นคงเป็นเมนูที่หลายคนชื่นชอบ ไม่ว่าจะเป็นรสชาติของอาหาร หรือแม้กระทั่งการตกแต่ง ความสวยงามน่ารักของอาหาร ที่มีการประดิษฐ์ประดอยให้มีน่าตาน่ารับประทานมากยิ่งขึ้น
   
Tags อาหาร ญี่ปุ่น
อ่านเพิ่มเติม... [อาหารญี่ปุ่น]
 
เตรียมตัวก่อนเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่น    PDF    พิมพ์    อีเมล

     เมื่อเราจะเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นแล้ว  เราก็น่าที่จะรู้ข้อมูลต่างๆ ของประเทศญี่ปุ่น  เช่น  การขอพาสปอร์ตและวีซ่า  ข้อมูลการท่องเที่ยวภายในญี่ปุ่น  ข้อมูลที่พัก  การศึกษาวัฒนธรรม ประเพณีของญี่ปุ่น  อัตราการแลกเปลี่ยนเงินตรา  และอื่น ๆ

       ข้อมูลเหล่านี้เราสามารถหาได้ทั้งในอินเตอร์เน็ต  หนังสือ  และ แหล่งที่แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ  เช่น เราจะไปประเทศญี่ปุ่น ก็อาจไปหาข้อมูลได้ที่องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่น หรือทางเว็บไซด์  http://www.yokosojapan.org/
Tags เตรียม ตัวไปญี่ปุ่น - ขอ วีซ่า - ขอ พาสปอร์ต - แหล่ง ท่องเที่ยว - องค์การ ส่งเสริมการท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่น
อ่านเพิ่มเติม... [เตรียมตัวก่อนเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่น]
 
ความเป็นมาของวัฒนธรรมญี่ปุ่น    PDF    พิมพ์    อีเมล

ความเป็นมาของวัฒนธรรมญี่ปุ่น

วัฒนธรรม ป่าเขตอบอุ่น
       วัฒนธรรมโจมน อันเป็นรากฐานของวัฒนธรรมญี่ปุ่นนั้น มีร่องรอยของทั้งวัฒนธรรมตอนเหนือบริเวณไซบีเรียและวัฒนธรรมตอนใต้บริเวณ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่เนื่องจาก
หลักฐานทางโบราณคดีของวัฒนธรรมตอน เหนือที่ชัดเจนยังมีไม่มากนัก แม้มีการขุดพบโบราณวัตถุ ซึ่งแสดงถึงร่องรอยของวัฒนธรรมตอนเหนือจากแหล่งซันใน มะรุยะมะ ในจังหวัดอะโอะโมะริ ขึ้นมาบ้างแล้วก็ตาม ในทางตรงกันข้าม ร่องรอยของวัฒนธรรมตอนใต้ในวัฒนธรรมโจมนั้น ถูกพิสูจน์อย่างชัดเจนแล้วจากการสำรวจภาคพื้นสนามที่กว้างขวางในแถบเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ โดยคณะสำรวจอันประกอบด้วยนักพฤกษสรีระวิทยา นักโบราณคดี นักมานุษยวิทยา ภายใต้การนำของนักพฤกษศาสตร์ ชื่อนายนะคะโอะ สะสุเคะ คุณะสำรวจนี้ได้ค้นพบความคล้ายคลึงทางวัฒนธรรมของภาคพื้นแถบเอเชียตอนใต้ และได้ขนานนามวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์นี้ว่า วัฒนธรรมป่าเขตอบอุ่น ปาเขตอบอุ่นประกอบด้วย ไม้ยืนต้น ไม้ผลัดใบ ที่มีใบหนา สีเขียว
เข้ม เป็นมัน เช่น โอ๊ค การบูร ดอกชา ป่าชนิดนี้อยู่บริเวณตอนเหนือของป่าดิบเขตร้อนแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ผ่า ขยายจากมณฑลยูนนานของประเทศจีนตะวันออกครอบคลุมไปถึงชายฝั่ง
ทางตอนใต้ ของจีนจนถึงญี่ปุ่น

ลักษณะทางวัฒนธรรมที่คล้ายคลึงกัน
       ชน เผ่าที่อาศัยอยู่บริเวณป่าเขตอบอุ่นนี้เป็นสายพันธุ์มองโกลอยด์ ประกอบกับลักษณะภูมิอากาศที่คล้ายๆ กัน จึงเป็นสาเหตุให้วัฒนธรรมของผู้คนที่อาศัยอยู่แถบนี้มีส่วนที่เหมือนกัน
ผู้ คนบริเวณนี้เริ่มจากการเผาป่าทำไร่เลื่อนลอย ปลูกธัญพืชประเภื ช้าวฟ่าง ลูกเดือย โซบะ ถั่วเหลือง จนในที่สุดได้พัฒนามาจนเป็นการปลูกข้าวธัญญาหารเหล่านี้จะถูกแช่น้ำ กระเทาะเปลือก ซาว และนำไปทุบจนเป็นผง จากนั้นนำไปต้มหรือนึ่ง ปั้นเป็นก้อนแล้วจึงรับประทาน ดังนั้น จึงพบเครื่องใช้ในการทุบ เช่น ครกตำ สาก หรือเครื่องปั้นดินเผาเพื่อใช้ในการต้มนึ่งที่คล้ายคลึงกันทั่วภูมิภาค
       เครื่อง ดื่มและอาหาร เช่น ชา คนเนียะขุ (ทำจากหัวบุก) และใบชิโสะ ซึ่งเป็นผลผลิตพื้นเมือง ก็เป็นเอกลักษณ์ของภูมิภาคนี้ และการทำอาหารประเภทถั่วหมัก ก็ทำกันเฉพาะใน
ภูมิภาคนี้เท่านั้น นอกจากสิ่งบริโภคแล้ว สิ่งที่เห็นได้อย่างกว้างขวางในภูมิภาคนี้ตั้งแต่มณฑลยูนนานไปจนถึงเวียดนาม และจากชายฝั่งทะเลตอนใต้ของจีนจนถึงญี่ปุ่น ก็คือการใช้เครื่องเขิน และผ้าไหมที่ได้จากการเลี้ยงตัวหม่อน และการประมงโดยใช้นกกาน้ำช่วย
       ตำนาน หรือนิทานพื้นบ้านของท้องถื่นก็มีหลายเรื่องที่พ้องกัน อย่างเช่น เทพนิยายที่เกี่ยวกับสุริยคราสหรือเทพนิยายที่ว่า จากศพของเทพยดาจะกำเนิดเป็นพืชพันธุ์ธัญญาหารนานา
ชนิด ที่ญี่ปุ่นเองเห็นร่องรอยได้จากตำนานสุริยุปราคา Ame no iwayakei หรือ ตำนานเทพจุติ Shitaikaseikei ที่ถูกรวบรวมไว้ใน บันทึก ดึกดำบรรพ์ (Kojiki) หรือ พงศาวดารญี่ปุ่น (Nihonshoki) แม้แต่ในเรื่องความเชื่อหรือประเพณีก็มีความคล้ายคลึงกัน เช่น ความเชื่อที่ว่า คนตายแล้ววิญญาณจะกลับไปอยู่บนยอดเขานั้น ฟังได้ทั่วไปจาชนเผ่าที่ทำไร่เลื่อนลอย ประเพณีที่ชายหญิงจะสื่อรักกันด้วยการร้องรำทำเพลง หรือที่ญี่ปุ่นเรียกว่า อุตะงะขิ (Utagaki) หรือการที่ชายไปมาหาสู่ฝ่ายหญิงนั้นพบเห็นได้ เป็นส่วนใหญ่
ที่มา : กระจกส่องญี่ปุ่น โดย สมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี (ไทย-ญี่ปุ่น)

 
Tags วัฒนธรรม ญี่ปุ่น
 
การอาบน้ำรวมในที่อาบน้ำ "เซ็นโต"    PDF    พิมพ์    อีเมล

คนญี่ปุ่นแก้ผ้า อาบน้ำกันหรือ

       คนญี่ปุ่นชอบแก้ผ้าอาบนํ้าด้วยกันจริงหรือ เขาไม่อายกันบ้างหรือไง .... หลายๆคนที่ไปญี่ปุ่นคงเคยเจอประสบการณ์อย่างนั้นกันบ้างแล้วไม่มากก็น้อย ถ้าใครเช่าห้องพักถูกๆแบบไม่มีห้องนํ้าในห้อง... คงได้เจอทุกวัน

       ที่ อาบนํ้ารวมสาธารณะภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า เซ็นโต ถ้าบอกว่าสาธารณะบางคนอาจจะคิดว่าใช้ฟรีเหมือนห้องนํ้าสาธารณะ แต่...เซ็นโตไม่ฟรี ต้องเสียเงินเข้า ราคาก็ประมาณไอติม 2-3 แท่ง แล้วอย่างที่ทุกคนทราบญี่ปุ่นเป็นประเทศเกาะ บ้านก็เล็ก ที่ดินก็น้อย สมัยก่อนถ้าจะสร้างบ้านที่มีห้องอาบนํ้า อ่างอาบนํ้านี่เป็นเรื่องยาก เพราะค่าใช้จ่ายสูง อีกอย่างเนื่องจากญี่ปุ่นเป็นประเทศหนาวเวลาอาบนํ้าคนญี่ปุ่นชอบแช่ในอ่าง นํ้าร้อนหรือที่เราเรียกกันว่า โอฟุโระ ก่อนจะเขัาก็ต้องก่อไฟต้มนํ้ากันให้วุ่น

      ด้วยเหตุผลทํานองนี้ ก็เลยมีธุรกิจขายบริการที่อาบนํ้าเกิดขึ้นมา สําหรับคนที่ไม่มีอ่างอาบนํ้าในบ้านตนเอง หรือ คนที่ขี้เกียจก่อฟืน และเพื่อที่จะให้คนเข้าได้ครั้งละมากๆ โอฟุโระในเซ็นโตจึงออกแบบให้มีขนาดใหญ่ การอาบนํ้ารวมจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ของคนญี่ปุ่นในสมัยนั้น

ใน ภาษาญี่ปุ่น มีคําๆนึง เรียกว่า ฮาดาขะ โนะ สึคิอัย

ฮา ดาขะ แปลว่า เปลือย
สึคิอัย แปลว่า การคบกัน

      แปล ตรงตัวก็คือ การได้พูดคุยกัน พบปะกัน ในสภาพที่เปลือย หรือพูดสั้นๆว่า แก้ผ้าคุยกัน ก็ทํานองว่า คนมากกว่าสองคนมาคุยกันแบบเปิดอก ไม่มีอะไรต้องปิดบังกัน พูดกันได้ทุกเรื่อง อยู่ในที่ทํางานไม่ได้คุยกันอย่างเปิดอกซักที มีอะไรเก็บเอาไว้ ก็มาแก้ผ้าเปิดอกพูดซะ ไม่ต้องกล้ว ไม่ต้องอายที่จะพูด ขนาดแก้ผ้ายังไม่อาย ...และสถานที่หนึ่งที่สร้างโอกาสแบบนี้ขึ้นมาก็คือ เซ็นโต ก็เป็นวัฒนธรรมที่ไม่เลว

คนที่ไม่เคยมีประสบการณ์ลองอ่านนี่ดู แล้วอาจจะอยากลองเข้าซักครั้งก็เป็นได้

วิธีการอาบนํ้าในเซ็น โต
1.
    ก่อน ออกจากบ้านก็เตรียมเงิน เสื้อผ้าที่จะเปลี่ยน ผ้าเช็ดตัว นํ้ายาสระผม สบู่ ถ้าเป็นผู้ชายอย่าลืมเตรียมผ้าเช็ดตัวผืนเล็กๆ ไปด้วย  ผู้หญิงก็อาจจะใหญ่หน่อย
2.
   ทาง เข้ามีสองทาง ตัดสินใจดีๆว่าจะเข้าของผู้ชายหรือผู้หญิง อย่าลังเลที่จะเข้าให้ถูกช่อง
3.
   พอ เปิดประตูเข้าไป ก็จะมีคุณลุงหรือไม่ก็คุณป้านั่งอยู่บนแท่นคอยเก็บเงิน จ่ายเงินตรงนี้ แต่อย่าริอาจมองข้ามไปอีกฟาก เพราะจะมองเห็นแต่คนชรา
4.
   หาล็อคเกอร์ แล้วเริ่มแก้ผ้า ตอนนี้ผ้าเช็ดตัวผืนเล็กๆที่เตรียมไว้จะเริ่มมีประโยชน์
5.
   ก่อนเข้าไปอาบนํ้า ของที่เตรียมมาเอาใส่ไว้ในล็อกเกอร์ แล้วอย่าลืมเอากุญแจติดตัวเข้าไปด้วย
6.
   หาที่นั่งที่ชอบ นั่งมองกระจกซักครู่ พิจารณาความหล่อความสวยของตัวเอง
7.
   ชุบ ผ้าเช็ดตัวผืนเล็กที่นํามาด้วยให้เปียก แล้วเอาวางไว้ที่เข่า เอาสบู่ขัดกับผ้าที่เปียกซัก 1 นาที เพื่อให้สบู่เกาะผ้า
8.
   ใช้ผ้าผืนนั้นขัดตัว เนื่องจากเป็นผ้า การถูหลังให้สะอาดจึงทําได้ง่ายมาก
9.
   เมื่อ ถูตัวสะอาดแล้วล้างตัวด้วยนํ้าอุ่นอีกที
10.
   ขั้น ต่อไป ช่วงเวลาระทึก ใครที่ไม่กลัวนํ้าร้อนลวกตาย อยากแช่อ่างนํ้าร้อน ลงไปเลย มีทั้งอ่างที่ร้อนพอประมาณ ร้อนมาก แล้วก็โ_ตรร้อน ใครที่ยังไม่เคยเข้าแนะนําให้ใช้มือเช็คความร้อนก่อน เวลาลงก็ค่อยๆลงทีละขา ไม่งั้นจะโดดออกจากอ่างไม่ทัน อ้อ..อย่าลืมเอาผ้าเช็ดตัวผืนเล็กผืนนั้นไปด้วย เพราะ เวลานั่งแช่นํ้าคนญี่ปุ่นจะเอามาปกไว้ที่หัวเพื่อความเท่ห์ ความจริงอันนี้ก็ไม่มีอะไรมาก คือผ้าเช็ดตัวผืนเล็กอันนั้นจะเอาติดตัวไปตลอดเวลาเดินไปเดินมาในเซ็นโต เป็นผ้าสารพัดประโยชน์ แต่ถ้าเข้าไปในอ่างเมื่อไหร่ ไม่ควรเอาแช่ไว้ในอ่าง เพราะผ้าเช็ดตัวผืนนั้น อาจจะยังมีสบู่ติดค้างอยู่ ก็เป็นมารยาทเกี่ยวกับความสะอาดอันนึงที่ต้องจําไว้
11.
   พอ เห็นว่าหนังเริ่มเปื่อย ก็ขึ้นมานั่งที่ขอบอ่าง พักครึ่งซักชั่วครู่ ถ้าเริ่มรู้สึกหนาว ก็ลงไปแช่อีก ทําอย่างนี้ไปเรื่อยๆจนกว่าจะพอใจ
12.
   ก่อนออกไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ล้างเนื้อล้างตัวให้สะอาดอีกซักครั้ง
13.
   ออกไปเปลี่ยนชุดแล้วกลับบ้าน
14.
   พรุ่งนี้มาเข้าต่อ

ขอ แนะนําอย่างนึงว่าถึงแม้ว่าจะหนาว หน้าหนาวก็ควรเข้าทุกวันเพราะการได้แช่นํ้าร้อนๆหน้าหนาว เวลาออกมาจะอุ่นและสดชื่นมาก หน้าร้อนแน่นอน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นคนที่ไม่มีห้องอาบนํ้าในห้องควรเข้าทุกวัน เพราะเซ็นโตส่วนมากจะไม่เปิดตอนเช้า
เซ็นโตทุกที่จะมีทางเข้าออกสองทาง แบ่งเป็นฝั่งชายและหญิง กําแพงที่กั้นก็ไม่ใช่กําแพงทึบถึงเพดาน ถ้าอยากจะปีนข้ามไปอีกฝั่งหนึ่งก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร.... ถ้าไม่กลัวถูกจับ

mr_a

  • Guest
ลักษณะภูมิอากาศ (Climate)
       เนื่อง จากญี่ปุ่นตั้งอยู่บนละติจูดที่ 31 องศาเหนือถึงละติจูดที่ 45 องศาเหนือ จึงมีภูมิอากาศแบบอบอุ่นอุณหภูมิเฉลี่ยต่อปีในโตเกียวซึ่งอยู่ตอนกลางของ ประเทศคือ 15.6 องศาเซลเซียส เนื่องจากทางเหนือสุดของหมู่เกาะห่างจากทางใต้สุดถึง 3,000 กิโลเมตร อุณหภูมิเฉลี่ยต่อปีจึงต่างกันอยู่ในระหว่าง 6-22 องศาเซลเซียส มีฝนตกมาก ในบางพื้นที่มีปริมาณน้ำฝนในแต่ละปีถึง 4,000 มิลลิเมตร ฝนจะตกบ่อยตั้งแต่ช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ (春(はる)、 Spring) จนถึงช่วงปลูกพืชในฤดูร้อน(夏(なつ)、Summer) โดยเฉพาะช่วงทสึยุ (つゆ、tsuyu) คือ ตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงเดือนกรกฎาคมส่วนพายะไต้ฝุ่นที่จะมาปีละหลายๆ ครั้งในฤดูร้อน และฤดูใบไม้ร่วง (秋(あき)、Autumn) ก็นำฝนมาในปริมาณมากเช่นกัน
       หมู่ เกาะญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลลมมรสุมตามฤดูกาล อากาศเย็นจะเคลื่อนลงมาทางใต้ในฤดูหนาว (冬(ふゆ)、Winter) และอากาศร้อนจะเคลื่อนไปทางเหนือในฤดูร้อน ฤดูหนาวกับฤดูร้อนจะมีระยะเวลานานหลายเดือนและถูกคั่นกลางด้วยฤดูใบไม้ผลิ กับฤดูใบไม้ร่วงราวฤดูละ 2 เดือน
       สภาพอากาศในฤดูหนาวของฝั่งทะเล ญี่ปุ่นกับฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกแตกต่างกันอย่างมาก ลมมรสุมตะวันตกเฉียงเหนือจะพัดเข้ามา และทำให้มีหิมะตกต่อเนื่องทางฝั่งตะวันตกของหมู่เกาะด้านทะเลญี่ปุ่น ขณะที่ทางฝั่งตะวันออกที่ติดมหาสมุทรแปซิฟิกอากาศจะดีและเย็นสบายทางภาคใต้ ของเกาะฮอนชูจะมีภูมิอากาศแบบป่าเขตอบอุ่น ในฤดูร้อนจะมีอากาศร้อน คล้ายกับในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรือร้อนกว่า การที่ในช่วง 3-4 เดือน ในฤดูร้อนมีภูมิอากาศเช่นเดียวกับในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ ตลอดจนการเพาะปลูกพืชหลักจำพวกข้าว มัน มีความคล้ายคลึงกับในประเทศแถบทางใต้ของมหาสมุทรแปซิฟิก

    
ฤดูหนาว (ม.ค.)
   
ฤดูใบไม้ผลิ (เม.ย.)
   
ฤดูร้อน (ก.ค.)
   
ฤดูใบไม้ร่วง (ต.ค.)
Cities/Key
   
T(C)
   
P
   
T(C)
   
P
   
T(C)
   
P
   
T(C)
   
P
Sapporo   
-4.1
   
111
   
6.7
   
61
   
20.5
   
67
   
11.3
   
124
Sendai   
1.5
   
33
   
10.1
   
98
   
22.1
   
160
   
14.8
   
99
Tokyo   
5.8
   
49
   
14.4
   
130
   
25.4
   
162
   
18.2
   
163
Nagoya   
4.3
   
43
   
14.1
   
143
   
26.0
   
218
   
17.6
   
117
Osaka   
5.8
   
44
   
14.8
   
121
   
27.2
   
155
   
18.7
   
109
Fukuoka   
6.4
   
72
   
14.8
   
125
   
26.9
   
266
   
18.7
   
81
Naha   
16.6
   
115
   
21.3
   
181
   
28.5
   
176
   
24.9
   
163

key: "T" stands for temperature, "C" stands for centigrade, "P" for precipitation (in mm) 

ที่ มา : กระจกส่องญี่ปุ่น โดย สมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี (ไทย-ญี่ปุ่น)

และ  http://www.ohayo-japan.com
Tags ลักษณะ ภูมิอากาศ - climate - ฤดู - อากาศ - Spring - Summer - Winter - Autumn
 
ชิงคันเซ็น รถไฟหัวกระสุน (Shinkansen bullet train)    PDF    พิมพ์    อีเมล

กำเนิดชิงคันเซ็น รถไฟหัวกระสุน (Shinkansen bullet train)
   
   
   
   

 

       ชิง คันเซ็น เป็นรถด่วนหัวจรวดของประเทศญี่ปุ่นที่ใคร ๆ ก็รู้จัก วิ่งก็เร็ว นั่งก็สบาย อุบัติเหตุก็ไม่เคยมี เจ้าชิงคันเซ็นนี้ถือกำเนิดมาได้อย่างไร
แล้วเทคโนโลยีที่นำมาใช้ในการ พัฒนาเอามาจากไหน ญี่ปุ่นไปลอกเลียนแบบใครมาอีกทีหรือเปล่า

กำเนิด ชิงคันเซ็น
       ความคิดที่จะสร้างรถด่วนที่มีความเร็วสูง เกิดขึ้น เนื่องจากในช่วงปลายทศวรรษที่ 1950 ประชาชนเริ่มหันมาใช้รถยนต์หรือเครื่องบินแทนการนั่งรถไฟกันมากขึ้น เนื่องจากรถยนต์และเครื่องบินนั่งสบายและรวดเร็วกว่า ซึ่งรถไฟในช่วงนั้นของประเทศญี่ปุ่นก็เป็นแค่รถจักรไอน้ำ วิ่งเร็วสูงสุดก็แค่ประมาณ 95 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จากโตเกียวไปโอซาก้า ต้องใช้เวลานานถึง 7 ชั่วโมงกว่า การรถไฟญี่ปุ่นเริ่มรู้สึกไม่ดี ถ้าปล่อยไว้อย่างนั้นผู้คนคงหันไปใช้รถยนต์หรือไม่ก็เครื่องบินกันหมด
ด้วย เหตุผลประการฉะนี้...ความคิดที่จะสร้างรถไฟที่วิ่งด้วยความเร็วสูงไม่ แพ้เครื่องบิน นั่งสบายไม่แพ้รถยนต์ เชื่อมระหว่างโตเกียวกับโอซาก้า ก็เกิดขึ้นมา ชิงคันเซ็น เริ่มสร้างตั้งแต่ปี ค.ศ. 1959 เสร็จสมบูรณ์เมื่อปี ค.ศ. 1964 ใช้เวลาสร้างเพียง 5 ปีเท่านั้น
นอกจาก นี้ยังมีเหตุผลอีกอย่างหนึ่ง ที่กระตุ้นให้การสร้างชิงคันเซ็นดําเนินไปอย่างรวดเร็วคือ โตเกียวโอลิมปิก ญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิกเป็นครั้งแรกที่โตเกียว เมื่อปีคศ. 1964 แล้วก็เป็นปีที่ชิงคันเซ็นเริ่มรับผู้รับโดยสารเป็นครั้งแรกพอดี เหมือนกับว่า ชิงคันเซ็นถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรับใช้กีฬาโอลิมปิกโดยเฉพาะ

เทคโนโลยี
       เทคโนโลยี ที่ทำให้ ชิงคันเซ็น วิ่งเร็ว นั่งสบาย เงียบ มีมากมายหลายอย่าง เช่นเพื่อลดแรงต้านของอากาศ หัวของรถไฟจึงถูกออกแบบให้มีลักษณะคล้าย ๆ กับหัวของจรวด ซึ่งเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ชิงคันเซ็นวิ่งได้เร็วกว่า 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
พัฒนาสปริงแบบใช้อากาศ เพื่อดูดแรงสั่นสะเทือนระหว่างการวิ่ง เพราะว่าระหว่างวิ่ง รถไฟจะสั่นถ้าเพิ่มความเร็วไปเรื่อย ๆ แรงสั่นสะเทือนจะกระจายไปทั่วขบวน ซึ่งมีอันตรายเป็นอย่างมากต่อโครงสร้างของรถไฟ
รางรถไฟได้ถูกสร้างให้มี ความโค้งน้อยมากที่สุด เพื่อให้รักษาความเร็วเดิมไว้ได้เมื่อถึงทางโค้ง
และ อีกหลาย ๆ อย่าง

สายรถไฟ
       ในอดีตมีแค่ สายเดียวคือ สายโตเกียว-โอซาก้า แต่ตอนนี้ได้ขยายเส้นทางไปสู่เมืองใหญ่ ๆ เกือบทั่งประเทศญี่ปุ่นแล้ว

การออกแบบหัวจรวด
       รูป ร่างหน้าตาแปลก ๆ ของหัวรถไฟไม่ได้ออกแบบมาเพื่อความเก๋ แต่ออกมาให้เหมาะกับสายที่วิ่ง อย่างเช่น ชิงคันเซ็นหัวเป็ด ออกแบบมาเพื่อลดแรงระเบิดของอากาศ เมื่อวิ่งเข้าหรือออกจากถ้ำ

 

ที่ มา :  http://www.ohayo-japan.com

 

 
Tags shinkansen - train - ซิ งคันเซ็น
 
วิธีการเดินทางในญี่ปุ่น    PDF    พิมพ์    อีเมล

รถโดยสาร
       มีรถบัสลีมูซีนวิ่งบริการระหว่างนา ริตะและอาคารท่าอากาศยานโตเกียวซิ ตี้ (Tokyo City Air Terminal / TCAT) ซี่งอยู่ในย่านธุรกิจของโตเกียว,ไปสถานีโตเกียวและชินจูกุรวมทั้งโรงแรม ใหญ่ๆ ในกรุงโตเกียวซื้อตั๋ว (เกือบ ๆ 3,000 เยน) ได้ที่สนามบิน หลังจากผ่านที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากรเรียบร้อยแล้วมีรถบัสลีมูซีน วิ่งหลายสาย โดยจอดรอผู้โดยสารตรงริมฟุตบาทภายนอกอาคารและไม่จำกัดจำนวนสัมภาระ ไม่คิดค่าบริการเพิ่ม รถบัสลีมูซีนจะออกจากท่าทุก 20 นาทีหรือราวๆ นั้น วิ่งประมาณ 2-3 ชั่วโมงก็ถึงโรงแรม นอกจากนี้ยังมีรถโดยสารเดินทางไปยังโยโกฮาม่าและสนามบินภายในประเทศฮาเนดะ ด้วย

รถไฟ
       มีรถไฟ 2 สายให้คุณเลือกเดินทางไปโตเกียว ได้แก่ เคเซสกายไลเนอร์ (Keisei Skyliner) และ เจอาร์นาริตะเอ็กซ์เพรส (JR Narita Express) รถไฟทั้งสองสายวิ่งเร็วกว่าแท็กซี่หรือรถบัสโดยสารถึงสองเท่า แต่ในแง่ความสะดวกแล้วเทียบกับเมื่อคุณอยู่ที่สถานีรถไฟไม่ได้ เนื่องจากที่สถานีจะมีรถไฟสายต่างๆ ให้คุณสามารถเดินทางได้ทั่วเมือง แต่ถึงแม้จะมีบริการรถไฟใต้ดินวิ่งทั่วเมืองก็ตาม หากคุณมีกระเป๋าเกินหนึ่งใบและเป็นกระเป๋าใบใหญ่หรือมีความอดทนอดกลั้นไป น้อยด้วยแล้ว ก็จงลืมการเดินทางไปในเมืองหรือโรงแรมด้วยบริการรถไฟหรือรถไฟใต้ดินได้เลย โดยเฉพาะเวลาที่อากาศร้อนเหนอะหนะในช่วงฤดูร้อน
       หากคุณต้องการต่อ รถสะดวก ควรขึ้นที่นาริตะเอ็กเพรสจะดีกว่า เพราะจอดตามสถานีของการรถไฟญี่ปุ่น (JR Station) ที่ชิบะ (Chiba) โตเกียว, ชินจูกุ (Shinjuku),อิเคะบุกุโระ (Ikebukuro) โยโกฮาม่า และโอฟุนะ (Ofuna) ขณะที่รถสกายไลเนอร์จอดเฉพาะสถานีอุเอโนะ (Ueno) และใกล้เคียงกันคือ 1ชั่วโมงและไม่จำกัดการขนสัมภาระขึ้นรถ(แต่อย่าลืมว่าการหอบหิ้วกระเป๋าเดิน ทางใบโตเดินตามสถานีรถไฟบนดินและใต้ดินในญี่ปุ่น โดยเฉพาะในโตเกียวนั้นต้องใช้พละกำลังอย่างมาก และสาหัสพอๆกับการปีนภูเขาไฟฟูจิเลยทีเดียว ฉะนั้นถ้าคุณมีกระเป๋าเดินทางมากกว่า 1 ใบและมิได้ขึ้นรถบัสลีมูซีนจากสนามบินตรงไปโรงแรมเลย ก็ควรใช้บริการขนส่งกระเป๋าที่สนามบิน ซึ่งจะส่งถึงมือคุณในวันรุ่งขึ้น)
       ค่า ตั๋วที่นั่งชั้นหนึ่งของนาริตะเอ็กซ์เพรสราคาประมาณ 3,000 เยน และต้องซื้อล่วงหน้า ส่วนตั๋วของสกายไลเนอร์ ราคา 2,000 เยน โดยอาจซื้อล่วงหน้าหรือซื้อที่สถานีรถไฟแล้วรอขึ้นได้เลยรถไฟสกายไลเนอร์ สะดวกสบายกว่านาริตะเอ็กซ์เพรสมาก (ยกเว้นที่นั่งชั้นหนึ่งซึ่งแสนสบาย) เนื่องจากที่นั่งชั้นธรรมดาของนาริตะเอ็กซ์เพรสแคบจนเกือบไม่มีที่เหยียดขา เป็นที่นั่ง 4 ที่หันหน้าชนกันถ้ามาเป็นครอบครัวแล้วชาวญี่ปุ่นจะนิยมขึ้นรถไฟนี้แต่สำหรับ นักเดินทาง ที่เพิ่งลงจากเครื่องบินหรือเหนื่อยล้าจากการท่องเที่ยวจนวินาทีสุดท้ายก่อน ออกจากญี่ปุ่นแล้ว คุณต้องคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้ (เมื่อที่นั่งเต็มการรถไฟญี่ปุ่นยังอนุญาตให้ผู้โดยสารยืนบนรถไฟได้ ทำให้รถแน่นยิ่งขึ้น)        แต่สำหรับเคเซสกายไลเนอร์แล้วไม่เคยถูกจองเต็มหรือคนแน่น รวมทั้งที่นั่งก็สะดวกสบาย มีที่ให้เหยียดขาได้ถ้าพิจารณาราคาซึ่งต่างกันแล้ว สกายไลเนอร์ย่อมดีกว่ามากทั้งราคาและความสบาย ถ้าคุณไม่มีสัมภาระมากก็อาจลงที่สถานีอุเอโนะ (Ueno Station) เพื่อต่อรถไฟของ JR หรือรถไฟใต้ดินหรือคุณอาจนั่งรถแท็กซี่ก็ได้

แท็กซี่
        การ เดินทางไปไหนมาไหนด้วยรถแท็กซี่ย่อมสะดวกสบายที่สุด แต่น่าเสียดายที่การสัญจรวิธีนี้ราคาแพงกว่าวิธีอื่น ในโตเกียวราคาแท็กซี่จะตั้งต้นที่ 650 เยน และเพียงชั่วการเดินทางระยะสั้น ตัวเลขก็พุ่งพรวดเป็น 3,000 ถึง 5,000 เยน ขอย้ำอีกครั้งว่าคุณไม่ต้องจ่ายค่าทิป รถแท็กซี่มีอยู่เกือบทั่วทุกหนแห่งบนท้องถนน ตามโรงแรมและสถานีรถไฟใหญ่ๆ แท็กซี่ซึ่งมีไฟแดงบนหน้าต่างด้านหน้าแสดงว่าไม่มีคนและพร้อมที่จะรับผู้ โดยสาร
อย่าจับประตูรถแท็กซี่ขณะขึ้นหรือลงจากรถ เพราะโชเฟอร์จะเป็นผู้เปิดปิดประตูเองด้วยคันบังคับข้างหน้า ฉะนั้นพอคุณโบกแท็กซี่และรถจอดเรียบร้อยแล้ว คุณเพียงแต่ยืนรอให้ประตูเปิดเอง เมื่อถึงที่หมายและจ่ายเงินเสร็จสรรพแล้วประตูก็จะเปิดออกเองอีกครั้ง เพียงแค่คุณก้าวลงมาแล้วเดินจากไปเท่านั้น หากพยายามจะเปิดหรือปิดประรถเองจะทำให้คนขับไม่พอใจ ส่วนมากคนขับแท็กซี่พูด ภาษาญี่ปุ่น หากคุณเขียนจุดหมายปลายทางเป็นภาษาญี่ปุ่นให้เขา ก็จะช่วยได้มากทีเดียว
       อย่าแปลกใจถ้ารถแท็กซี่ไม่หยุดจอดรับคุณใน ตอนดึก แสดงว่าแท็กซี่คันนั้นกำลังมองหาซารารีมังและต้องการค่าโดยสารที่มากกว่านี้ ระหว่างตีรถกลับไปบริเวณชานเมือง

การต่อเครื่องบินภายใน ประเทศ
       ถ้าต้องการต่อเครื่องบินในประเทศต้องนั่ง แท็กซี่,รถโดยสาร รหือรถไฟเข้าโตเกียว แล้วขึ้นเครื่องที่สนามบินฮาเนดะไม่มีเที่ยวบินในประเทศออกจากนาริตะรถบัส ลีมูซีนจะพาคุณจากนาริตะวิ่งตรงถึงฮาเนดะ หรือคุณอาจจะนั่งแท็กซี่,รถโดยสาร หรือรถไฟเข้าโตเกียว แล้วขึ้นเครื่องที่สนามบินฮาเนดะไม่มีเที่ยวบินในประเทศออกจากนาริตะวิ่งตรง ถึงฮาเนดะ หรือคุณอาจจะนั่งแท็กซี่ซึ่งมีราคาแพงลิ่ว

บริการ ส่งสัมภาระ
       ผู้อาศัยในญี่ปุ่นส่วนใหญ่นิยมใช้บริการนี้ ซึ่งรวดเร็วและเชื่อถือได้ หลังจากผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากรแล้ว ให้เดินตรงไปที่เคาน์เตอร์ ABC ในอาคารกลาง (มีหลายอาคาร) ส่วนใหญ่มันมีแนวเส้นบอกทางไปไม่ว่าคุณอยู่ ณ แห่งหนใด ABC จะนำสัมภาระถึงมือคุณในวันต่อมา ราคาราว 1,500 เยนต่อกระเป๋า หากมีเกิน 2-3 กระเป๋าแล้วควรพิจารณาการใช้บริการประเภทนี้

จากสนามบินฮาเน ดะ (Haneda Airport)
       ค่าแท็กซี่จากสนามบินฮาเนดะไปยังใจ กลางเมืองอยู่ในราว 5,000 - 6,000 เยน โดยใช้เวลาประมาณ 30-40 นาที ถ้าต้องการความสะดวกสบายในการขนสัมภาระ ก็อาจนั่งรถไฟโมโนเรลไปยังสถานีฮะมะมัตสึโจ (Hamamatsucho Station) บนเส้นทางรถไฟสายเจอาร์ ยามาโนเตะ (JR Yamanote Line) ใช้เวลาเดินทางราว 17 นาที

จากสนามบินนานาชาติคันไซ (Kansai Int'l Airport)
       สนาม บินนานาชาติคันไซ (Kansai International Airport : KIX) สร้างขึ้นใหม่เพื่อเป็นท่าอากาศยานปลายทางนานาชาติสำหรับภูมิภาคคันไซแทน สนามบินโอซาก้า (Osaka Airport : Itami) นอกจากนั้นยังเพื่อลดความแออัดที่สนามบินนาริตะ ซึ่งมีชั่วโมงให้บริการจำกัด ทว่ายังคงมีเที่ยวบินในประเทศบางเที่ยวออกจากอิตามิ (Itami) ซึ่งเป็นธรรมดาอยู่เองที่การต่อเครื่องบินระหว่างประเทศกับเครื่องบินภายใน ประเทศย่อมไม่สะดวกสบาย KIX เป็นสนามบินที่ใหญ่อันดับ 2 ของญี่ปุ่นและเป็นแห่งแรกที่เปิดทำการตลอด 24 ชั่วโมง โดยเปิดใช้เมื่อวันที่ 4 กันยายน 1994 สนามบินตั้งอยู่บนเกาะเทียมในอ่าวโอซาก้าไปทางตะวันออกเฉียงใต้ห่างจากสถานี เจอาร์-โอซาก้า ราว 60 กิโลเมตร เป็นสนามบินที่แพงที่สุดแห่งหนี่งในโลก โดยเก็บภาษีขาออกถึง 2,600 เยน แต่มีสถาปัตยกรรมสวยงามน่ามอง ทั้งระบบดำเนินงานก็ยอดเยี่ยม การต่อขึ้นเครื่องภายในและนอกประเทศตั้งอยู่ในอาคารเดียวกันและใช้เวลาไม่ กี่นาที (ข้อควรทำ: อย่าลืมแจ้งยืนยันว่าการต่อเที่ยวบินในประเทศของคุณนั้นมาจาก KIX ไม่ใช่จากฮิตามิ) การเดินทางไป KIX ไม่ยาก มีรถไฟ 2 สาย, ทางด่วน 2 เส้นทาง, บัสลีมูซีนราว 10 สาย และเรือเฟอร์รี่ความเร็วสูง 4 ลำ วิ่งจากเกาะไปยังจุดต่างๆในคันไซ


        คุณสามารถสอบถามข้อมูลการเดินทางได้ที่ศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยวคันไซ (Kansai Tourist Information Center) อยู่ที่ห้องโถงผู้โดยสารขาเข้า (1st Fl.) เปิดทำการทุกวัน เวลา 9.00 - 21.00 น. มีธนาคารรับแลกเปลี่ยนเงินตราสิบแห่งที่ท่าอากาศยาน โดยหนึ่งหรือสองแห่งนั้นเปิดบริการเวลา 6.00 - 23.00 น. คุณสามารถเปลี่ยนตั๋วเจแปนเรลพาส (Japan Rail Pass) ได้ตามสถานที่ดังต่อไปนี้ ได้แก่ เคาน์เตอร์ข้อมูลเขตตะวันตกของ JR (JR West infomation Counter) ซึ่งอยู่ที่ห้องผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศ (International Arrivals Lobby,1st Fl.) ทุกวัน เวลา 8.00-20.00 น.,ศูนย์บริการท่องเที่ยว Tis (Tis-Travel Service Center) ทุกวันเวลา 10.00-18.00 น. หรือฝ่ายสำรองตั๋วมิโดริโนะมาโดงุจิ (Midori-no-madoguchi Reservations Ticket Office) ของสถานีรถไปท่าอากาศยานคันไซ JR (JR Kansai Airport Station) เปิดทุกวัน เวลา 5.30-24.00 น.
ที่ มา : หน้าต่างสู่โลกกว้างญี่ปุ่น โดย บริษัท สำนักพิมพ์หน้าต่างสู่โลกกว้าง จำกั